[BOOKMARK MAGAZINE] ISSUE 05.2 — RISO TOWN: THE SENSE OF PLACE OF RISOGRAPH STUDIOS


Together Design and Risograph Studio

Studio is a knowledge.


ชื่อของ Together Design and Risograph Studio ถูกตั้งขึ้นเพราะหมอกอยากให้คนอื่นๆ ได้มาเรียนรู้วิธีการพิมพ์ริโซ่ด้วยกัน เราจึงได้เห็นหมอกขนเครื่องพิมพ์ไปที่งาน Bangkok Design Week ที่ผ่านมา เท่าที่รู้ ก็ยังไม่เคยมีคนยกเครื่องไปตั้งในงานแบบนี้ และอาจจะไม่มีใครทำถ้าไม่ใช่หมอก

เราไปหา Together Design ถึงบ้านของหมอกที่สมุทรสาคร บ้านของหมอกเป็นโรงงานผลิตสินค้าขนาดใหญ่ และสตูดิโอที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังนั้นเอง เราสังเกตว่าตัวพื้นที่ที่ใช้ทำงาน ถูกแบ่งออกจากส่วนที่เป็นของของที่บ้าน มีคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ และราวตากงานวางเรียงกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำงานที่เป็น One Man Studio

“ไม่ชอบทำไฟล์เลย”

สวนทางกับสตูดิโออื่นๆ ที่เอ็นจอยกับทุกโปรเสส ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่าน หมอกเลยศึกษาเรื่องการพิมพ์ริโซ่ด้วยตัวเองค่อนข้างเยอะและแทบไม่เคยถามสตูดิโออื่นๆ เลย หมอกโชว์สมุดที่สะสมความรู้ทั้งหมดให้เราดูและก็ค้นพบว่าเป็นคนที่ขยันมากคนนึง สิ่งที่หมอกสนใจและสนุกกับมันมากที่สุดคือช่วงรีเสิร์ช จึงไม่แปลกใจที่หมอกจะอยากแบ่งปันสิ่งที่รู้มาให้กับคนอื่นๆ เพราะมันเยอะมากจริงๆ

ภาพถ่ายที่พิมพ์ด้วยริโซ่ของหมอกเหมือนจริง

ภาพที่ Together Design พิมพ์ ส่วนมากจะเป็นภาพถ่าย เพราะหมอกเพิ่งค้นพบวิธีแยกสีให้ตรงที่สุด(หมอกว่าอย่างนั้น) เมื่อวางภาพพิมพ์ไว้ในห้องที่ใช้ทำงานแล้ว ให้ความรู้สึกแปลกดี นอกจากนั้นหมอกยังเก็บแผ่นแม่พิมพ์ของแต่ละสี แต่ละงานเอาไว้ด้วยกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะนำไปทำอะไรต่อ จนเรารู้สึกว่า Together Design ไม่ได้มีพื้นที่ที่เป็นสตูดิโออย่างชัดเจน แต่เป็นความรู้ทั้งหมดที่หมอกมีและพร้อมจะนำออกไปแบ่งให้คนอื่นจริงๆ



เครื่องพิมพ์ริโซ่ของหมอกใหม่ที่สุด ตั้งใจไว้ว่าจะย้ายเครื่องไปเรื่อยๆ ก่อนจะค้นพบว่ามันหนัก 



มาทำด้วยกัน อยากให้มาทำด้วยกัน เป็นเหตุผลที่หมอกขนเครื่องพิมพ์ไปทำเวิร์กชอปข้างนอก ไม่รู้ว่าอะไรคุ้มค่ากว่ากัน 


ขยะที่สวยงามในสายตาของคนทำสิ่งพิมพ์เท่านั้น หมอกรวมมันเอาไว้ด้วยกันทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ามันจะจบลงตรงไหน ขี้สายรุ้ง 



ยางอินเดียของหมอกสีเขียวอมฟ้า เห็นแล้วอยากเอาผ้าชุบน้ำเช็ดให้ใบสะอาดเกลี้ยง 



หมอกพูดได้ 3 ภาษา และแยกสีของภาพได้มากกว่า 3 สี นั่นทำให้ภาพถ่ายของหมอกเหมือนจริงมากกว่าภาพของใครๆ 


อนุสาวรีย์ของหมอก 


ฝูงกระดาษนอนทับถมกันกลายเป็นสายรุ้งที่มีจุดเกรนตามขนาดที่เครื่องพิมพ์จะปรับได้ ไม่ว่าสายรุ้งจะขาดหายไปกี่สี ก็สวยในสายตาของหมอกอยู่เสมอ 



“ไม่ชอบปริ้นท์ ไม่ชอบทำไฟล์”
มีความรู้อยู่มากมายที่นอนรออยู่ในตัวของหมอกตลอดเวลา การนั่งหาข้อมูลเพื่อมาทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบขนาดนั้นเป็นเรื่องสนุกเหลือเกิน 



ยอดมนุษย์เหมือนจริงอาศัยอยู่บนกระดาษของหมอก ถ้าอยู่ในโลกเวทมนตร์ พวกเขาคงขยับได้ตามใจ





Poop Press

Studio as a playground


เชื่อว่าคนที่ทำริโซ่ทุกคน ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักพี่ลี ผู้ก่อตั้ง Poop Press สตูดิโอทำริโซ่ที่แรกของไทย ก่อนหน้านี้ที่จะมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง Poop Press เป็นเพียงการตั้งอยู่ของเครื่องปริ้นท์ ที่ไม่ว่าจะย้ายไปไหน ที่นั่นก็กลายเป็นสตูดิโอได้ทันที

พี่ลีได้เครื่องปริ้นท์เครื่องแรกมาจากเพื่อนที่เคยทำริโซ่มาก่อน และเริ่มนำมาเผยแพร่ให้คนรู้จักโดยการจัดเวิร์กชอป และเซอร์วิส ที่อนุญาตให้คนได้มาลองใช้เครื่องเพื่อทำซีน(zine) ตอนนั้นจัดอยู่ที่แกลเลอรี่ Speedy Grandma พี่ลีเล่าว่าในช่วงเดือนแรกยังไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่ะเมื่อทำไปสักระยะ คนติดต่อเข้ามาเยอะจนต้องจัดเป็นรอบและจองคิวล่วงหน้ากันเลยทีเดียว

เมื่อได้มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นชั้น 2 ของแกลเลอรี่ Soy Sauce Factory ก็ได้เวลาที่จะมีเครื่องปริ้นท์เครื่องใหม่มาทดแทนเครื่องเก่าที่พังไป ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ลีกับเครื่องปริ้นท์คงเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เพราะผ่านการซ่อมและทำความเข้าใจกันมาหลายยก และการเปิดให้คนเข้ามาทำเวิร์กชอปกับเครื่องนี้ ก็เหมือนการแนะนำคนเพื่อนสนิทให้คนอื่นๆ ได้รู้จักและทำความเข้าใจกัน

Poop Press ทำงานไม่เหมือนใคร และบางงานก็คงเป็นไดเรกชั่นที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ถ้าพูดสั้นๆ ก็คงบอกว่าเป็นงานที่มันมากๆ การใช้สีและเลือกคำพูด ทุกอย่างออกมาในชิ้นงานและถูกแปะวางอยู่ทุกพื้นที่ของสตูดิโอ เมื่อเทียบกับสตูดิโออื่นๆ แล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่มีเสียงจากสิ่งของเยอะที่สุด ไม่ใช่เสียงดังโหวกเหวกจนฟังอะไรไม่ออก  แต่เป็นเสียงเหมือนผับดีๆ สักที่ที่เปิดเพลงถูกใจไปซะหมด

พื้นที่ของ Poop Press ถูกจัดสรรอย่างคร่าวๆ เช่น เครื่องปริ้นท์ ชั้นกระดาษ โต๊ะทำงานและเวิร์กชอป และชั้นหนังสือที่รวมผลงานที่เคยทำและหนังสือที่สะสมไว้ ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มทำสตูดิโอเป็นของตัวเอง เราประทับใจมากกับการที่พี่ลีสามารถทำให้ห้องนี้เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของพี่ลีเอง แต่ยังเปิดรับคนใหม่ๆ เข้ามาอยู่เสมอโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเกร็งเลย แทบทุกมุมของสตูดิโอจะมีป้าย ข้อความ โน๊ต แปะอยู่เต็มไปหมด ไม่ใช่แค่เพื่อการสื่อสารระหว่างคนที่เข้ามาทำงานภายในสตูดิโอ แต่รวมไปถึงอะไรก็ตามที่บ่งบอกความเป็น Poop Press ต่างก็ถูกจับมารวมกัน และพร้อมที่จะถูกย้ายและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ



มีพี่ลีต้อนรับหน้าทางเข้าอยู่ห้าคน จริงๆ มีพี่ลีคนเดียวก็พอแล้ว และน่าจะไม่มีใครทำซ้ำได้แล้ว

พี่ลีเป็นคนแรกที่ทำริโซ่สตูดิโอในไทย ในสมัยที่ยังไม่มีชื่อ และไม่มีใครรู้จักว่ามันคืออะไร แต่พี่ลีและเพื่อนๆ รู้ 



มีเครื่องดนตรีแขวนอยู่หน้าประตู ถ้าคนเราเจอต้อนรับกันด้วยเสียงเพลงก็คงจะดี ต่อให้เสียงดังยังไง ก็คงไม่ดังเกินกว่าหูจะรับไหว อันที่จริง คิดว่าเครื่องดนตรีชิ้นนี้สร้างมาเพื่อหูของพี่ลีคนเดียว เพราะพอขึ้นไปแล้ว เราก็ไม่ได้ยินอะไรเลย 


หนังสือที่พิมพ์ด้วยริโซ่เล่มแรกที่ซื้อมายังตั้งอยู่ตรงนี้ รวมกับหนังสือเล่มอื่นๆ หนังสือหลายเล่มรวมกันออกมาเป็น Poop Press ที่ไม่เหมือนใครเลย 


ระเบิดออกมากลายเป็นห้องและสีทั้งหมดที่อยู่บนผนัง บางทีอาจจะไม่ต้องวางแผนอะไร ห้องนี้ก็ถูกทาสีด้วยตัวมันเอง 



สตูดิโอสีสันสุดไขว่คว้า แสบตาสำหรับคนที่มองไม่เห็น 


พี่ลีเชื่อใจให้คนอื่นใช้งานเครื่องพิมพ์ของตัวเองอยู่เสมอ เหมือนกับที่เชื่อเครื่องพิมพ์ เครื่องเดิมให้พิมพ์งานให้เป็นประจำ อะไหล่จากเครื่องพิมพ์เครื่องแรก ยังคงมีชีวิต อยู่ในเครื่องพิมพ์เครื่องใหม่ แม้ไม่สดใสนัก แต่ก็เอาใจไปวางไว้ได้ไม่เสียหายอะไร 


จริงๆ แล้ว ดูเหมือนพี่ลีจะไม่สามารถไม่พอใจอะไรได้เลย 



ทานอาหารสบายใจในห้องแอร์แม้ไม่มีใคร



ไฟแช็ค

สีอะครีลิค 

สายชาร์จ 

ใบปลิว Speedy Grandma 

หนังสือที่เพิ่งพิมพ์เสร็จ 

เทปสีน้ำเงิน 

เทปสีเหลือง 

ไม้แขวนเสื้อ 

มีทุกๆ อย่างวางอยู่บนโต๊ะของพี่ลี 



กับที่บางที แค่เดินเข้าไปก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นพื้นที่ของใคร กลิ่นของเจ้าของพื้นที่ลอยฟุ้งในอากาศอยู่เสมอ 




Witti Studio

Studio is a space within.


Witti Studio ถูกสร้างขึ้นมาจากความชอบที่สะสมมาอย่างใจเย็นของอาจารย์ผึ้ง วิทมน นิวัติชัย และอาจารย์สันติ ตันสุขะ ด้วยความที่ได้รู้จักอาจารย์ทั้งสองท่านมาตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้พอจะเข้าใจจังหวะในการทำงานและวิธีเลือกของอาจารย์อยู่บ้าง และเมื่อได้ก้าวเข้าไปในสตูดิโอ จึงรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นตัวตนของอาจารย์ทั้งสองจริงๆ

อาจารย์ผึ้งและอาจารย์สันติได้เริ่มโปรเจกต์เล็กๆ ในใจไว้ตั้งแต่ช่วงที่เข้ามาร่วมงานกันที่หลักสูตร CommDe จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อค้นพบว่าจังหวะการทำงานและภาพในใจค่อนข้างใกล้เคียงกัน โปรเจกต์การทำสตูดิโอ ริโซ่ ปริ้นท์ติ้ง จึงเริ่มขึ้นมาอย่างเนิบช้าหลายปีก่อนที่จะมาเป็น Witti Studio อย่างทุกวันนี้ ในขณะที่จุดเริ่มต้นของหลายๆ สตูดิโอ จะเริ่มจากเครื่องปริ้นท์เป็นหลัก แต่ไม่ใช่กับ Witti Studio ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่า ถ้าไม่ได้สตูดิโอที่เหมาะสม จะไม่ลงทุนซื้อเครื่องเด็ดขาด ทั้งสองจึงเริ่มมองหาพื้นที่ที่ถูกใจอยู่นานหลายปี จนกระทั่งได้มาเจอ Jouer โครงการน่ารักๆ ติดถนนสุขุมวิท ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่และเพื่อนฝูงในวงการที่หลงรักรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่คล้ายๆ กัน

เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นบ้านเก่า แบบที่ครอบครัวใหญ่จะอยู่รวมกันในรั้วเดียว ส่วนหลังที่ Witti Studio อยู่ คือบ้านหลังในสุด ในส่วนของห้องนอนและห้องน้ำ อีกครึ่งหนึ่งของบ้านคือห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก ตอนนี้เป็นสตูดิโอของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ Kaoi และแบรนด์เสื้อผ้า Even for Everyone เมื่อได้รู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นเคยเป็นห้องนอนมาก่อน ก็รู้สึกได้ว่าตัวบ้านถูกออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนจริงๆ เดิมทีห้องนอนจะมีหน้าต่างใหญ่รอบด้าน ที่ตอนนี้ได้ถูกเจาะเป็นประตูทางเข้าสตูดิโอ และมีทางเดินลึกเข้าไปสู่ห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำทรงเก่า ที่ยังคงสภาพเดิมได้ดีมาก จนรู้สึกอยากลองลงไปนอนแช่น้ำสักที ตลอดทางเดินไปห้องน้ำ มีพื้นที่ที่ถูกเจาะเข้าไปเพื่อวางชั้นหนังสือ ชั้นตากกระดาษ และชั้นใส่กระดาษ ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เมื่อได้พูดคุยกับอาจารย์จึงรู้ว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นตู้เสื้อผ้าบิวด์อินมาก่อน แต่ถูกรื้อออกไป และยังมีช่องบนหลังคาที่ถูกทำเป็นกรอบกระจกเพื่อให้แสงทอดลงมาอีกด้วย ทุกองค์ประกอบของบ้านหลังเดิมเหมือนถูกสร้างมาเพื่อรองรับสตูดิโอในวันที่เจ้าของเดิมย้ายออกไปแล้ว เพื่อให้ตัวบ้านยังคงรักษาบรรยากาศที่สงบ ร่มรื่นเอาไว้ได้

เมื่อ Witti Studio เข้ามาอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ หน้าต่างบานใหญ่ถูกแทนที่ด้วยประตูและกระจกที่เป็นเหมือนหน้าร้าน มองเข้าไปเห็นบรรยากาศการทำงานคึกคักของทั้งสองคน พื้นไม้ยังคงรักษาเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อเดินผ่าน ห้องนอนที่(คงจะ)น่านอนมากๆ ในวันหยุด กลับมามีสีสันด้วยการตกแต่งสตูดิโอของทั้งคู่ ทั้งงานที่ทำเองและงานของนักออกแบบคนอื่นๆ ทุกพื้นที่ดูสนุกสนานแต่ไม่โหวกเหวก คล้ายปาร์ตี้เล็กๆ ที่รวมเพื่อนที่รู้ใจมาไว้ด้วยกัน ภาพในใจที่ถูกวาดไว้คร่าวๆ ตั้งแต่ต้นได้ถูกทำให้มีชีวิตขึ้นมาด้วยการคัดสรรอย่างตั้งใจและไม่รีบร้อน

ถ้าให้อธิบายพื้นที่ของ Witti Studio แบบสั้นๆ คงจะสรุปได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีเรื่องราว ร่มรื่น พิถีพิถันและเหมาะสม



ชาร์ทสีของใครก็คงไม่น่าภูมิใจเท่าการมีชาร์ทสีของตัวเอง สตูดิโอที่ถูกเก็บอยู่ในใจกันสองคนมาหลายปี เมื่อถูกเก็บจนได้ที่ ก็ออกผลมาเป็นกระดาษหน้าตาแปลกบนผนังของห้องจนแทบไม่ได้คิด ว่าก่อนหน้านี้ผนังเคยเป็นหรือยังเป็นสีอะไร 



ชั้นวางหนังสือ
ชั้นตากกระดาษ
ชั้นเก็บกระดาษ
โต๊ะทำงาน
โต๊ะวางของ
อ่างล้างหน้า
อ่างอาบน้ำ

ทุกอย่างอยู่ร่วมกันในพื้นที่ที่เคยเป็นห้องนอน
บางชิ้นมาก่อน บางชิ้นมาทีหลัง
เข้ามาอยู่ในที่ที่เหมือนเตรียมไว้สำหรับปัจจุบัน 


กระดาษเล็กกระดาษน้อย
กระดาษของเล็ก กระดาษของน้อย
วันนึงจะไม่ใช่กระดาษเล็กกระดาษน้อย
วันนึงจะไม่ใช่กระดาษของเล็กหรือกระดาษของน้อย 


มีแสงลอดเข้ามาจากกรอบกระจกที่ติดอยู่บนหลังคา ห้องนี้เคยเป็นห้องนอน ถ้าตื่นขึ้นมาคงเห็นแสงอาทิตย์พอดี 



ที่ที่เหมาะสม ไม่เคยมีภาพที่ชัดเจนเป็นจนกว่าจะกลายเป็นเรื่องจริง อาจารย์ผึ้งเคยบอกว่า เมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างจะเข้าที่ของมันเอง บางเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จตอนนี้ อาจจะยังไม่เจอที่ของมันก็ได้ 



มีเพื่อน มีพี่ มีน้อง มีลูกศิษย์ มีคนที่ไม่เคยรู้จักกันฝากร่องรอยเอาไว้บนผนังเต็มไปหมด มีชื่อบ้างไม่มีชื่อบ้าง 



เครื่องพิมพ์เป็นเหมือนจักรวาลที่บิดได้ไม่มีที่สิ้นสุด มีแค่เราที่ต้องเรียนรู้และหาทางบิดมันเอง ทุกสตูดิโอมีจักรวาลเป็นของตนเอง ที่ Witti ก็มีอยู่หนึ่ง 



แม้แต่ขยะยังถูกจัดการให้เป็นระเบียบ เพราะทุกอย่างควรมีที่ที่เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ถาวรหรือชั่วคราว เดินกลับออกมาจากสตูดิโอพร้อมกับหัวใจที่หายใจเบาๆ บางทีที่ของเราอาจจะยังไม่เจอ 




Haptic Editions

Studio is a designer as a space.


Haptic Editions เป็นห้องแบบมีหน้าร้านเล็กๆ มีกระจกสองด้านที่กั้นโลกภายนอกออกจากสตูดิโอ ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปยังสตูดิโอของพี่ตะวัน ก็ลืมไปแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้อยู่ใจกลางทองหล่อ เราถูกต้อนรับด้วยเครื่องปริ้นท์และชั้นตากงานที่มีขนาดใหญ่จนเหมือนเป็นอนุสาวรีย์ของสตูดิโอ

เงียบ แต่ไม่อึดอัด

ด้วยความที่พี่ตะวันทำสตูดิโอนี้เพียงคนเดียว จึงสามารถจัดการพื้นที่ได้โดยสะดวก แต่ก็ยังมีระบบในการทำงานที่สอดคล้องกับการจัดวางเครื่องมือ เริ่มตั้งแต่เครื่องปริ้นท์ ชั้นตากงาน ชั้นวางของ และชั้นเก็บกระดาษและเศษกระดาษ ตรงกลางเป็นโต๊ะทำงานสองตัว ใหญ่พอที่จะวางงานได้หลายชิ้นและสามารถทำเวิร์กชอปกลุ่มเล็กๆ ได้พอดี

เราสังเกตว่าที่นี่แทบจะไม่มีการแปะโพสต์อิท เพื่อสื่อสารข้อความภายในสตูดิโอเลย ตอนนั้นจึงได้เข้าใจว่าการการทำงานของพี่ตะวัน สามารถสื่อสารกับตัวเองได้เลยโดยไม่ต้องผ่านโน๊ตอะไร เราถามพี่ตะวันอีกครั้งว่าทำไมถึงแทบไม่มีตัวอย่างงานปริ้นท์แปะอยู่บนผนัง อย่างที่เคยเห็นสตูดิโออื่นๆ ทำ พี่ตะวันเล่าว่าอยากให้สตูดิโอนิ่งที่สุด เพื่อที่เมื่องานใหม่ถูกผลิตออกมา จะส่งเสียงและสีสันของตัวมันได้ดีที่สุดโดยไม่ถูกรบกวนจากงานอื่น ส่วนตัวอย่างงานที่ผ่านๆ มา ก็ถูกจัดเก็บในแฟ้มอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบ แต่ก็ใช่ว่าที่นี่จะเงียบสนิทสักทีเดียว ถึงแม้ไม่มีเสียงคนพูดจากสิ่งของ แต่ยังมีเสียงของต้นไม้เล็กๆ ที่ถูกวางไว้มุมห้อง ทำให้สตูดิโอกลายเป็นห้องเล็กๆ ที่มีชีวิตขึ้นมา

สตูดิโอเป็นสีเทากลาง

เราอาจจะเคยเห็นสตูดิโอออกแบบหลายที่ที่เลือกใช้สีนิ่งๆ อย่างสีดำ ขาวหรือสีของไม้ แต่สำหรับพี่ตะวัน Haptic Editions ถูกทาด้วยสีเทา ชั้นวางของขนาดใหญ่เป็นสีเทาและดูแข็งแรงแต่ไม่แข็งทื่อ ทำให้เรานึกถึงสไตล์การออกแบบจากยุโรปตอนบนที่เคยเห็นในหนังสือบ่อยๆ เราค่อนข้างมั่นใจว่าสตูดิโอเล็กๆ นี้ คือการกลายร่างของพี่ตะวันจากคนสู่สเปซ และแม้ว่า Haptic Editions จะกำลังย้ายไปทำสตูดิโอในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น เราก็เชื่อว่าเราน่าจะได้เห็นตัวตนของพี่ตะวันในมุมที่กว้างขึ้นและละเอียดขึ้นเหมือนกัน



Haptic Editions พูดเสียงเบาไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร ทุกเรื่องเข้าใจกันดีในหัวของพี่ตะวัน 



อนุสาวรีย์ของสตูดิโออยู่ถัดจากเครื่องพิมพ์ที่รอรับอยู่หน้าทางเข้า ใหญ่เสียจนคิดว่าจะเสียงดัง แต่ไม่เลย งานที่ตากอยู่บนตะแกรงต่างหากที่ส่งเสียง 


มักมีคนทักผิดว่าเครื่องพิมพ์ริโซ่คือเครื่องถ่ายเอกสารอยู่บ่อยๆ แต่เครื่องพิมพ์ริโซ่มาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นเครื่องถ่ายเอกสารได้อีกแล้ว 



กระดาษของพี่ตะวันถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกระดาษที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ กระดาษใช้แล้วถูกเก็บเป็นระเบียบ หอมใหม่เหมือนเพิ่งออกจากเครื่องพิมพ์ กระดาษที่ยังไม่ถูกใช้ นิ่งและหอมเหมือนเพิ่งดึงออกมาจากรีม 



Post It แผ่นเดียวในสตูดิโอถูกแปะไว้อย่างโดดเดี่ยวบนชั้นที่มีระเบียบและเทากลาง แผ่นอื่นๆ ถูกแปะอยู่ในสายตาของพี่ตะวันคนเดียวเท่านั้น 


สตูดิโอขนาด 1 คนเดินสบาย กำลังจะถูกขยายเป็นขนาดหลายคนเดินสบายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อนุสาวรีย์จะถูกย้ายไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ แต่ก็เชื่อว่ามันจะยังคงเด่นที่สุดในห้องอยู่เสมอ สตูดิโอใหม่อาจจะเป็นสีเทากลางเหมือนเดิม หรือไม่เหมือนเดิมก็ไม่รู้เหมือนกัน 



สะท้อนโลกข้างนอกออกไปให้หมด 



RISO PRINT GUIDE LEAFLET HERE
ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ว่าวางมันไว้ที่ไหน แต่มันสวยดีก็ไม่ทิ้ง 


เหมือนห้องนิทรรศการที่แสดงโลกของพี่ตะวันเอาไว้ มองจากระยะไกลก็ยังคงสงบดี Haptic Editions เป็นอย่างไร พี่ตะวันก็เป็นอย่างนั้น 




Smoove

Studio is a personal space.


พี่เบลบอกเราไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบ้านพี่เบลเป็นโรงพิมพ์ แต่ภาพในหัวของเรายังไม่ชัดขนาดนั้นจนไปถึงสถานที่จริง โรงพิมพ์นี้เป็นของครอบครัวที่ทำมาตั้งแต่ก่อนพี่เบลเกิด ตัวบ้านและส่วนที่เป็นโรงพิมพ์อยู่ติดกัน ส่วน Smoove Studio ก็อยู่ที่ชั้นสองของบ้านที่พี่เบลโตขึ้นมา

รู้อยู่แล้วว่าจะกลับมาทำสตูดิโอที่บ้าน

เพราะไม่มีที่ไหนสะดวกไปกว่านี้และพี่เบลเองก็ยังไม่ได้ทำ Smoove แบบเต็มเวลา ห้องนี้เลยจะถูกใช้พิมพ์งานในเวลาว่างและวันหยุด หรือบางครั้งก็เอาไว้ให้เพื่อนๆ ได้มารวมตัวกัน ห้องนี้จึงไม่ได้มีแค่เครื่องพิมพ์และอุปกรณ์การทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหนังสือที่ชอบ โซฟา แก้วกาแฟ และของสะสมอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ตัวห้องถึงแม้จะอยู่ภายในบ้านแต่ก็มีหน้าต่างที่มองออกไปเห็นตัวบ้านส่วนอื่น พี่เบลใช้มู่ลี่มาปิดเอาไว้ เหมือนกับเป็นการคั่นพื้นที่ของ Smoove และพื้นที่บ้านออกจากกัน เราชอบห้องแบบนี้มาก โดยเฉพาะพื้นไม้ขัดมัน พอดูภาพรวมกับของภายในห้องแล้ว ก็ทำให้ได้เข้าใจว่านี่คือส่วนผสมของพี่เบลที่มาจากที่บ้านและตัวตนที่ได้ไปเติบโตข้างนอก เราคิดแบบนี้เสมอกับทุกสตูดิโอที่ได้ไป ไม่มีที่ไหนเหมือนกันเลย

สตูดิโอที่กำลังเติบโต

Smoove กำลังโต โตจากพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำในสิ่งที่ชอบ ที่พี่เบลเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชอบสิ่งพิมพ์เพราะโตในโรงพิมพ์หรือโชคดีที่เกิดมาในโรงพิมพ์กันแน่ 



ใครๆ ก็มีผนังส่วนตัวกันทั้งนั้น 



กระดาษว่างพิมพ์ยามว่างหลังเลิกงานและวันหยุดราชการ วันหยุดนักขัตฤกษ์



เครื่องพิมพ์ชื่อญี่ปุ่นในบ้านคนจีน ต้องปรับตัวให้เข้ากับการอาศัยอยู่บนโรงพิมพ์ 



ตั้งแต่เกิดมาก็เจอโรงพิมพ์ ไม่รู้ว่าพี่เบลเกิดมาเพื่อชอบสิ่งพิมพ์ หรือโรงพิมพ์หลอมให้ชอบสิ่งพิมพ์ 


เก้าอี้ดีไซน์เนอร์ก็ไม่สู้เก้าอี้ไม้ของที่บ้าน นั่งแล้วเหมือนกำลังจะได้กินข้าวเย็นพร้อมหน้า 


แก้วน้ำที่สะสมมาก็ย้ายมาอยู่ในห้องนี้รวมกับสิ่งอื่นๆ ที่หลงรัก กระบวนการเปลี่ยนรูปทรงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราส่องกล้องกลับไปดู เห็น Smoove กำลังก่อตัว 



ตู้เอกสารเก่าของอากงถูกส่งมาให้พี่เบลใช้ต่อ ในลิ้นชักแถมความรู้เก่าๆ มาด้วย ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน โชคดีที่มีอากง 




ผสมบ้านและตัวเองเข้าด้วยกัน แล้วนำเข้าไปในเครื่องพิมพ์ในเวลาไม่นาน จะได้กระดาษสีสดใสประทับใจไม่รู้ลืม 


หน้าต่างและมูลี่กั้นบ้านออกจากสตู / กั้นสตูออกจากบ้าน เพื่อให้พี่เบลเปลี่ยนจากตัวเองเป็นสถานที่อย่างช้าๆ แต่มั่นคง 


กระดาษเก็บอยู่ในลิ้นชัก LUCKY ตู้เดิมที่เคยเก็บกระดาษของครอบครัว แยกเป็นชั้นใครชั้นมัน แต่ครอบครัวยังอยู่ด้วยกัน พื้นที่ของ Smoove เป็นห้องนี้มาตลอด แยกออกจากตัวบ้านแค่ประตูกั้น เป็นพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่ส่วนตัว 

[BOOKMARK MAGAZINE] ISSUE 05.1 — FROM BANGKOK ART BOOK FAIR TO BKKABF CO-OP: WHERE IS THE ART BOOK FAIR AND WHAT IS A CO-OP?


แนวคิดของ BKKABF CO-OP


01:35 — BKKABF CO-OP คืออะไร?
04:49 — แนวคิดของ CO-OP หรือสหกรณ์ ถูกนำมาใช้กับเทศกาลหนังสือศิลปะได้ยังไง?
06:40 — BKKABF CO-OP มีบทบาทยังไง และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปแบบไหนบ้าง? 07:22 — ปันผลของสหกรณ์นี้คืออะไร?
09:41 — อะไรคือ ‘BANGKOK’ ในความหมายของ BKKABF CO-OP ในเมื่อมันเป็นเทศกาลออนไลน์?
15:38 — CO-OP มองตัวเองในมุมที่จะช่วยเปิดมุมมองให้กับคนที่เป็นระดับผู้เริ่มต้นได้อย่างไรบ้าง ?
18:39 —สำหรับมุมมองด้านการศึกษา อยากถามลิลลี่ กับโอ๊ตกลับว่า ในฐานะที่เป็นรุ่นใหม่ อีกทั้งยังเรียนอยู่ คิดยังไงกับงาน BKKABF


ที่มาและบริบทของงาน


23:23 — ไอเดียตั้งแต่การเริ่มทำ BKKABF CO-OP เป็นยังไง? 
28:30 — ช่วง CONTRIBUTION PERIOD คืออะไร? เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
30:32 —ถ้าปีหน้า BKKABF กลับไปจัดในพื้นที่จริงได้ แล้วจะยังมีกิจกรรมออนไลน์อยู่มั้ย?


ตัวอย่างงานและอีเวนต์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น


33:45 — งาน BKKABF CO-OP Online Festival 2020 ว่าคืออะไร?
34:47 —  ส่วนหนึ่งงาน  BKKABF CO-OP Online Festival 2020  เกิดขึ้นเพราะโควิดด้วย ถ้ากลับมาจัดแฟร์ได้เหมือนเดิม จะยังมี Online Festival อยู่รึป่าว?
35:33 — แสดงว่า Online Festival หรือ BKKABF CO-OP ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อทดแทน BKKABF แต่เกิดขึ้นมาเพื่อเสริม และในปีหน้า ๆ ทั้งสามจะ co-exit กันอยู่ต่อไปใช่มั้ย? 
35:52 — จากการจัดงานในพื้นที่จริงไปสู่ออนไลน์ ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดยังไงบ้าง?
36:29 — ไอเดียเรื่อง CO-OP จะเกิดขึ้นได้รึป่าว ถึงแม้ว่าไม่มีโควิด? 
37:05 — สำหรับเรื่องผู้เข้าชมงาน คิดว่าจะมีกลุ่มผู้ชมจะเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไปยังไงบ้าง?
39:19 — คอนเท้นท์ที่จะอยู่ใน Online Festival จะโฟกัสไปที่คำว่า ‘art book’ ในแง่มุมไหน?  
41:45 — พี่นัทในฐานะของคนที่เป็นผู้ประสานงานกับเมมเบอร์ทุกคน อยากให้อธิบายว่ามีโปรเจกต์แบบไหนบ้าง?
44:38 — โปรเจกต์ Open Access คืออะไร?
48:09 — ทำไมมีความพยายามที่จะแปลบทความจากภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาไทย หรือจากภาษาไทยเองไปเป็นภาษาอังกฤษ?


เบื้องหลังการทำงาน


49:03 — มีการเลือกคน และแนะนำให้เค้ามารู้จักกัน หรือทำโปรเจกต์ร่วมกันยังไง?
50:09 — แปลว่าทางทีมทำงานได้มีการคุยสื่อสารค่อนข้างลึกซึ้งกับเมมเบอร์ใช่มั้ย ถึงเข้าใจได้ว่าเค้าต้องการอะไรและสามารถแนะนำคนหรือว่าสิ่งอื่นๆ ที่สามารถไปช่วยเค้าได้ แล้วก็มีอุปสรรคเรื่องการสื่อสารมั้ย?
55:26 — ทาง BKKABF CO-OP มีให้การสนับสนุนโปรเจกต์ของเมมเบอร์มั้ย?
57:00 — เนื่องจากว่ากิจกรรมทุกอย่างจะเกิดขึ้นในออนไลน์เป็นหลัก ทางทีมงานมีการวางแผนโปรโมทไปสู่สาธารณะ ด้วยวิธีการไหนบ้าง?

[BOOKMARK MAGAZINE] ISSUE 04 PUBLISHING THE PUBLIC(ATION): WHAT IT MEANS TO MAKE SOMETHING PUBLIC



Honey Kraiwee (Honey)
— What is the concept and idea of publishing and a publication? What do we consider a publication? What do publishing and a publication mean today?

 

Yin Yin Wong (Yin Yin) — Matthew Stadler, an American writer who initiated Publication Studio in Portland, Oregon (with Patricia No) said that one of the core premises of a publication is the social life of it. A publication is a catalyst for a gathering of humans, understanding of each other and making something public. A publication is also a space to welcome humans as equal. A publication is a medium for people to converse with one another. A connecting force for debates and conversations.

Publication is different from a book because it involves a public. To make something public means engaging one or more people. Therefore, publication is a social tool. Publication is a concept. It is different from an object, an archive or a document.

Publishing is mobilization and facilitation of publication.



ฮันนี่ ไกรวีร์ (ฮันนี่) —
คอนเซ็ปต์ แนวความคิดของการตีพิมพ์ (Publishing) และสิ่งพิมพ์ (Publication) ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง เป็นยังไงบ้าง หมายถึงอะไรในปัจจุบัน?

 

หยิน หยิน หว่อง (หยิน หยิน)แมทธิว สแตทเลอร์ นักเขียนชาวอเมริกันผู้ก่อตั้ง Publication Studio ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน (ร่วมกับแพทริเซีย โน) ได้กล่าวไว้ว่า พื้นฐานหลักของสิ่งพิมพ์ คือการที่มันมีชีวิตอยู่เพื่อสังคม สิ่งพิมพ์เล่มหนึ่งเป็นเหมือนตัวกระตุ้นการรวม
ตัวกันของมนุษย์ การเข้าใจกันและกัน และการทำให้อะไรบางอย่างกลายเป็นสาธารณะ มันเป็นสถานที่ที่ต้อนรับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นสื่อที่ทำให้คนมาพูดคุยกัน เป็นเหมือนแรงเชื่อมให้เกิดการถกเถียงและเกิดบทสนทนา

สิ่งพิมพ์ต่างจากหนังสือตรงที่ว่าสิ่งพิมพ์เอาสาธารณชนเข้าไปในกระบวนการคิดด้วย การทำให้อะไรบางอย่างเป็นสาธารณะ หมายถึงการเชื่อมสัมพันธ์ของคนหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนไว้ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งพิมพ์เป็นเครื่องมือทางสังคม เป็นแนวความคิด ต่างจากวัตถุ จดหมายเหตุ หรือเอกสาร 

ส่วนการตีพิมพ์ ช่วยอำนวยความสะดวก และช่วยให้สิ่งพิมพ์เคลื่อนย้ายไปได้ง่ายขึ้น



Honey —
How does Publication Studio work?

 

Yin Yin — Publication Studio works in a non-traditional way. It is a print-on-demand process. That means the bar for something to be published is really low, making it more accessible for an invisible group of people. Publication Studio works intimately with local authors and focuses on undiscovered creative minds from diverse range of interests. The distribution is through network, so authors can reach more diverse, underground and local audiences that are hard to reach through conventional publishing practices.



ฮันนี่ —
Publication Studio ทำงานยังไง?

 

หยิน หยิน — Publication Studio ทำงานแบบแหวกแนว เพราะเราใช้วิธีพิมพ์ตามสั่ง เราตั้งเกณฑ์การผลิตไว้ต่ำมากๆ เพื่อให้คนหลากหลายกลุ่มสามารถพิมพ์งานได้ Publication Studio ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักเขียนในท้องถิ่นและสนใจทำงานกับครีเอทีฟหน้าใหม่ๆ จากหลากหลายแขนง และความสนใจ เรากระจายงานไปตามเครือข่ายเพื่อให้นักเขียนสามารถเข้าถึงคนจากหลากหลายกลุ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใต้ดิน และหรือนักอ่านท้องถิ่น ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้โดยวิธีการตีพิมพ์ในรูปแบบเดิม



Honey — How is it non-traditional?


Yin Yin — The traditional publication is heavily embedded in institutions. Only established and in-the-network artists get their works published and mostly sold to the art and publication community.



ฮันนี่ —
แล้วมันแหวกแนวยังไง?


หยิน หยิน —
สิ่งพิมพ์ทั่วไปมักจะติดอยู่ในกรอบของสถาบัน หรือหน่วยงาน มีแต่ศิลปินที่ดังแล้วหรือรู้จักคนวงในเท่านั้นที่มักจะได้ตีพิมพ์งานของตัวเอง และมักจะขายอยู่แต่ในวงศิลปะกับวงการสิ่งพิมพ์กันเอง


Honey —
What are the concepts behind Experimental Publishing (XPUB) course and how is it experimental?

 

Amy Suo Wu (Amy) — I don’t want to speak on behalf of XPUB, since I’m not teaching per se but a graduation supervisor. But to give some context, i’m an alumni of the course, however when I studied there it was called Networked Media, a course that focused on exploring networked technologies as sites for critical intervention, artistic research and political engagement. XPUB still very much carries forth this spirit however with a focus on the idea of making public in the age of post-digital networks. More specifically the course explores two main points. The first looks at publishing as the inquiry and participation into the technological frameworks, political context and cultural processes through which things are made public; and second, how these are, or can be, used to create publics.


ฮันนี่ — หลักสูตร Expertimental Publishing (XPUB) มีแนวคิดอะไร และเป็นการทดลองยังไง?

 

เอมี่ โซ วู (เอมี่) — ฉันไม่อยากที่จะพูดแทน XPUB เพราะฉันไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่เป็นที่ปรึกษาโปรเจกต์จบการศึกษา จริงๆ แล้วฉันเป็นศิษย์เก่าของสาขาวิชานี้ เมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่หลักสูตรนี้ชื่อว่า Network Media ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งไปที่การศึกษาเทคโนโลยีในการสร้างเครือข่าย ในฐานะที่เป็นพื้นที่สำหรับการวิพากษ์ วิจัยเชิงศิลปะ และการเข้าร่วมทางการเมือง XPUB ยังคงยึดถือจิตวิญญาณของหลักสูตรนี้ เพียงแต่มุ่งไปที่แนวคิดของการทำให้เป็นสาธารณะในยุคเครือข่ายที่เรียกว่าโพสต์ดิจิทัล (post-digital) ยิ่งไปกว่านั้นหลักสูตรนี้เน้นไปที่การศึกษาประเด็นหลักๆ อยู่สองประเด็น อย่างแรกคือมองไปที่การตีพิมพ์ในแง่ของการได้มาและการเข้าร่วมในขอบเขตเทคโนโลยี บริบทการเมือง และกระบวนการทางวัฒนธรรม ผ่านการทำให้สิ่งของกลายเป็นสาธารณะ อย่างที่สองคือสิ่งที่กล่าวไปนั้นเป็นหรือสามารถที่จะเป็นสิ่งที่ถูกใช้ในการสร้างสาธารณชนได้ยังไง



Honey —
Publication for XPUB?

 

Amy — XPUB approaches publishing from the perspective of multidisciplinary, interdisciplinary and transdisciplinary practices, in order to explore a broad range of methods and workflows, as well as inventing new ones. XPUB understands reading, writing, prototyping and documentation as core principles for critical design and artistic research. A publication, in this line of thinking, encapsulates these acts and therefore may manifest in multiple and hybrid forms. 

For me personally as an artist and designer, publication broadly means interacting and making something public. If we start from understanding publication as a way of making work visible to the audience, it can be anything from paper, bounded books, to performance, QR codes, wearable patches or even laundry.



ฮันนี่ —
สิ่งพิมพ์ของ XPUB เป็นยังไง?


เอมี่ — 
XPUB มีวิธีคิดเกี่ยวกับการตีพิมพ์จากมุมมองที่รวมเอาหลายวิทยาการมาไว้ด้วยกัน เป็นสหวิทยาการ และมีการแลกเปลี่ยนวิทยาการ เพื่อที่จะศึกษาวิธีการและขั้นตอนการทำงาน แบบกว้างๆ รวมไปถึงการคิดค้นวิธีการใหม่ XPUB เข้าใจการอ่าน การเขียน การทำแบบจำลอง และการบันทึก เป็นแกนหลักในการออกแบบเชิงวิพากษ์ และการทำวิจัยเชิงศิลปะ สิ่งพิมพ์ในเส้นทางความคิดนี้ สรุปเอาการกระทำเหล่านี้มาไว้ด้วยกัน ดังนั้นมันจึงอาจจะทำให้สิ่งพิมพ์ออกมาในรูปแบบที่หลากหลาย และมีความเป็นลูกผสม

โดยส่วนตัวแล้วในฐานะที่เป็นศิลปินและนักออกแบบ สิ่งพิมพ์แปลแบบกว้างๆ คือการปฏิสัมพันธ์และทำให้เป็นสาธารณะ ถ้าเราเริ่มจากเข้าใจว่าสิ่งพิมพ์เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปเห็นงานเราได้ สิ่งพิมพ์ก็สามารถเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่หนังสือที่พิมพ์ออกมาเป็นเล่ม การแสดง คิวอาร์โค้ด ที่ปะผ้าที่สวมใส่ได้ หรือแม้กระทั่งการตากผ้า


Honey —
Posting a text on my Facebook, is it a publication?

 

Amy — Perhaps not a publication, but definitely publishing. Writing and posting on Facebook not only makes something public, but possibly creates public. The interaction with a public is crucial in the understanding of publication. A public doesn’t have to be this indiscriminate anonymous crowd, but can be a specific public such as your local neighbourhood community, school union, work, subculture, environment, family, etc.


ฮันนี่ —
ถ้าอย่างนั้น การโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คก็ถือว่าเป็นสิ่งพิมพ์ใช่มั้ย?

 

เอมี่ — อาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็นสิ่งพิมพ์ แต่แน่นอนว่าเป็นการตีพิมพ์ การเขียนและการโพสต์ลงเฟซบุ๊ค ไม่ได้เป็นการทำให้บางอย่างเป็นสาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปได้ว่ามันสร้างสาธารณชนด้วย การปฏิสัมพันธ์กับสาธารณชนเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำความเข้าใจสิ่งพิมพ์ สาธารณชนไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มชนไร้ตัวตน แต่เป็นกลุ่มคนจำเพาะอย่างเช่นเพื่อนบ้านในชุมชน คนท้อนถิ่น กลุ่มคนที่โรงเรียน



Honey —
Can a workshop be a publication?


Yin Yin —
Yes, it can. Circulation is important. A workshop must circulate knowledge that was produced during the workshop. A publication must have an effect on the world and to the society that we live in. Otherwise, it would be the same as hanging a poster on your wall but nobody sees it.



ฮันนี่ —
ถ้าอย่างนั้นสิ่งพิมพ์เป็นเวิร์กชอปได้มั้ย?


หยิน หยิน —
ได้ การทำให้แพร่หลายเป็นสิ่งสำคัญ เวิร์กชอปต้องเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการทำเวิร์กชอปถึงจะถือว่าเป็นสิ่งพิมพ์ได้ สิ่งพิมพ์ต้องมีผลต่อโลกหรือสังคมที่เราอาศัยอยู่ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนเราแขวนโปสเตอร์ไว้บนผนังห้องแต่ไม่มีใครเห็น



Honey —
How is a publication different from an art object in a museum?


Yin Yin — Publication must be democratic. It’s another form of dispersing ideas. An art object in a museum invites you to look at but it is still limited in an institutional confinement.



ฮันนี่ —
สิ่งพิมพ์ต่างจากงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์อย่างไร?


หยิน หยิน — สิ่งพิมพ์เป็นการกระจายความคิดรูปแบบหนึ่ง จึงต้องเป็นประชาธิปไตย มีความเสมอภาคของสังคม ความเสรี ในขณะที่งานศิลปะในพิพิธภัณฑ์เชิญชวนให้คุณมองมัน แต่ว่ายังตกอยู่ในข้อจำกัดของสถาบัน



Honey —
What about artists’ books?


Yin Yin — Artists’ books is an iteration of the work that you’re making as an artist. The book itself is a piece of art but it can move and exist outside the opening time and and spatial confinement of the museum.

Publication Studio is about democratization of a book that doesn’t only travel to art book scenes or fairs. Contradictory, we still work mainly on artist books and are quite embedded in that scene. So, at the moment we’re still working to expand our content. In recent years we’ve published poetry, literature and non-fiction as well as artist books.



ฮันนี่ —
แล้วหนังสือศิลปิน (artists’ books) ล่ะ?


หยิน หยิน —
 หนังสือศิลปิน (artists’ books) เป็นการทำงานของคุณในฐานะศิลปินซ้ำอีกทีหนึ่ง ตัวหนังสือเองนับว่าเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ว่ามันสามารถเคลื่อนไหวและอยู่นอกเหนือระบบอำนาจหรือนอกเหนือเวลาเปิดปิดของแกลเลอรี่ได้ แต่ก็ยังมีหนังสือศิลปินที่ยังอยู่ภายใต้กรอบโครงสร้างของสถาบัน

Publication Studio คือการทำให้หนังสือมีอธิปไตยของตัวเอง และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่ในวงศิลปะหรือเทศกาลหนังสือเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน เราก็ยังคงทำงานอยู่ในวงหนังสือศิลปินเป็นหลัก และค่อนข้างฝังตัวเองอยู่ในแวดวงนี้ ซึ่งตอนนี้เราก็ยังคงพยายามที่จะขยายขอบเขตของเนื้อหาออกไปอยู่



Honey —
Must there be a text?


Yin Yin — The tax authorities of the Netherlands charge 9% for a book and 21% for a notebook. So, according to them for something to be considered a book, it must contain text. Therefore, yes! Text! (laughter)



ฮันนี่ —
แล้วยังต้องมีตัวหนังสืออยู่มั้ย?


หยิน หยิน — เพราะว่าสรรพากรของเนเธอร์แลนด์คิดภาษีหนังสือ 9 เปอร์เซ็นต์ และ 21 เปอร์เซ็นต์สำหรับสมุดโน๊ต และเกณฑ์ที่จะวัดว่าสิ่งนี้เป็นหนังสือได้ คือการมีตัวหนังสือ ดังนั้นต้องมีตัวหนังสือ! (หัวเราะ)


Amy —
Not per se; images and sound can be read like text.


Yin Yin —
By the way, although the government thinks the text is necessary, I don’t think it is necessary.  Publication Studio has been experimenting with publication in different forms such as an exhibition. When we had an exhibition at Showroom MAMA in Rotterdam, we asked; Can publishing be an exhibition? What does that mean?


เอมี่ —
ก็ไม่เชิง เสียงก็สามารถอ่านได้เสมือนเป็นตัวหนังสือ


หยิน หยิน —
จริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมองว่าตัวหนังสือจำเป็น แต่ฉันไม่คิดว่าจำเป็นนะ 
Publication Studio ได้ทำงานเชิงทดลองกับสิ่งพิมพ์มาหลายรูปแบบ อย่างการมองว่าสิ่งพิมพ์เป็นนิทรรศการ ตอนที่เราจัดนิทรรศการที่ Showroom MAMA ที่รตเตอร์ดัม เราตั้งคำถามว่า สิ่งพิมพ์เป็นนิทรรศการได้มั้ย แล้วถ้าได้ มันหมายความว่าอะไร



Honey —
Do you consider how you’re going to present a publication to the public?


Yin Yin —
The art book fair is a strange endeavor for us  because we have to print books beforehand, travel to the other end of the world to bring them to the fair and hope that you’ll sell. In 2019, Publication Studio Rotterdam was invited to participate in an art book fair in Australia. This means travelling to the other side of the world. Bringing all the books would be very heavy and very expensive to transport by the plane. 

So we invented a project called PUBLICATION STUDIO PORTABLE, together with Elaine Wing-Ah Ho from Publication Pearl River Delta, Hong Kong– which was a luggage trolley  in which we tucked a whole publication studio in. It included a printer, a glue gun and a cutter and weighed exactly 23 kilos, fitting the limit of international flights, to print and bind books at the fair. We demonstrated how we print on demand. We were there without bringing any books to the art book fair. The first thing we printed was the manual, the blueprint of the machine. There was definitely a performative aspect to it.



ฮันนี่ —
คุณคิดด้วยมั้ยว่าจะแสดงงานกับสาธารณชนยังไง?


หยิน หยิน —
เทศกาลหนังสือศิลปะทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ เพราะว่าเราต้องพิมพ์หนังสือไปล่วงหน้า เดินทางไปอีกซีกโลกหนึ่ง แล้วก็ขนหนังสือที่พิมพ์ไปหวังว่าจะขายได้ เมื่อปี 2562 Publication Studio รตเตอร์ดัมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานหนังสือที่ออสเตรเลีย นั่นหมายถึง การขนหนังสือหนักๆ บินข้ามไปอีกฝากหนึ่งของโลกซึ่งแพงมาก

เราเลยทำโปรเจกต์ PUBLICATION STUDIO PORTABLE ร่วมกับ อีเลน วิง-อา โฮ จาก Publication Studio สาขา Pearl River Delta จากฮ่องกง โดยเราพับทั้งสตูดิโอเข้าไปในกระเป๋าเดินทางล้อลาก ในนั้นมีเครื่องพิมพ์ ปืนกาว และที่ตัดกระดาษ ซึ่งหนัก 23 กิโลกรัม พอดีกับน้ำหนักมาตรฐานของการบินนานาชาติ ไปพิมพ์ และเข้าเล่มที่งานหนังสือ เราแสดงให้ผู้เข้าร่วมงานดูว่าเราพิมพ์งานตามสั่งยังไง เราเข้าร่วมงานหนังสือโดยไม่เอาหนังสือไปเลยซักเล่ม สิ่งแรกที่เราพิมพ์คือคู่มือ ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวของเครื่องพิมพ์ งานนี้แน่นอนว่าสิ่งพิมพ์มีคุณลักษณะของการแสดงสด



Honey —
How does Publication Studio Rotterdam collaborate with other Publication Studios?


Yin Yin —
Anyone can start a publication studio as long as you agree to distribute other publication studios’ works. There’s no mothership. Publication Studio Rotterdam works independently. It’s just like a group of people from different parts of the world trying to disperse information. We help each other also on technical parts. We are just some folks trying to get some texts and things around. And expand our reach. It’s very social. Each studio has its own input. Publication Studio Rotterdam is interested particularly in visual art, poetry and queer culture.



ฮันนี่ —
แล้ว Publication Studio Rotterdam ทำงานร่วมกับ Publication Studio สาขาอื่น ยังไง?


หยิน หยิน — ใครจะตั้ง Publication Studio ของตัวเองก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกระจายงานของ Publication Studio สาขาอื่นด้วย ไม่มี Publication Studio ที่เป็นบริษัทแม่ สาขารตเตอร์ดัมเองมีอิสระในการทำงาน จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามกระจายข้อมูลจากหลากหลายมุมโลก เราช่วยกันในเรื่องเทคนิคด้วย เหมือนสมาชิกในครอบครัวที่พยายามเอาตัวหนังสือหรืออะไรบางอย่างกระจายออกไป และขยายขอบเขตการเข้าถึงไปเรื่อยๆ มันเป็นงานเชิงสังคมมาก แต่ละสตูดิโอมีจุดเด่นของตัวเอง อย่าง Publication Studio รตเตอร์ดัมสนใจศิลปะ บทกวี และวัฒนธรรมเควียร์


Honey —
Why does XPUB choose to emphasise ‘the act of making’?


Amy — I don’t know.


ฮันนี่ — ทำไม XPUB ถึงเลือกเน้นย้ำ ‘การกระทำ’ (the act of making)?


เอมี่ — ฉันก็ไม่รู้


Yin Yin —
Using the technology is the act of making, right? To hack is also a political act to circumvent normality.


Amy — 
Thank you Yin Yin! I just blanked out. Publishing as a political act is definitely what the course and I, as an artist, think about. For XPUB, it is not only the act of making, but the act of making public as well as the act of creating public. What this means to me is making certain knowledges (i mean this in the plural sense and not as a monolithic scientific entity) visible for certain groups. 

I’m personally interested in what voices we have? What does it mean to speak out?




หยิน หยิน —
การใช้เทคโนโลยีก็เป็นการกระทำใช่มั้ย? การแฮ็กก็ถือเป็นการกระทำเชิงการเมืองเพราะว่าเป็นการหลีกเลี่ยงระบอบปกติ


เอมี่ — 
ขอบคุณนะ หยิน หยิน ฉันนึกไม่ออกตอนแรก การตีพิมพ์ในแง่ของการแสดงออกทางการเมืองเป็นอะไรที่ทั้งคอร์สและตัวฉันเองในฐานะศิลปินให้ความสำคัญ สำหรับ XPUB แล้วมันไม่ใช่แค่สนใจในการกระทำ แต่สนใจการกระทำให้เป็นสาธารณะ และการสร้างสาธารณชน สิ่งเหล่านี้มีความหมายสำหรับฉันในแง่ที่มันเป็นการสร้างความรู้ทั้งตามตำราและนอกตำรา (ฉันหมายถึงความรู้ที่มาจากหลายทาง ไม่เพียงแต่ความรู้ทีได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียว)

ส่วนตัวแล้วฉันสนใจว่าเรามีสิทธิ์มีเสียงอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเราพูดให้ดังออกไปแล้วจะเป็นยังไง


Amy — 
Especially from a female and Asian perspective, making public for me is about voice and visibility This resonates with me personally because as someone who grew up with Chinese parents, silence was a cultural expectation within the sphere of the home, social life but also the country from which they were from. So for me to publish has this urgency to speak and break the silence.


Yin Yin —
when you say silence in Asian culture makes me understand why I’m so loud!


เอมี่ —
โดยเฉพาะจากมุมมองของผู้หญิงเอเชีย การทำอะไรบางอย่างให้เป็นสาธารณะสำหรับฉันเกี่ยวกับการมีปากมีเสียงในสังคมและการถูกมองเห็น สิ่งนี้สะท้อนตัวฉันเป็นการส่วนตัว เพราะในฐานะที่เติบโตมากับครอบครัวชาวจีน การไม่มีปากเสียงเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังในเชิงวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่ภายในครอบครัว การใช้ชีวิตในสังคม แต่รวมไปถึงในระดับประเทศ ดังนั้นสำหรับฉันแล้ว การตีพิมพ์มีความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะช่วยผลักดันการมีปากเสียงและทลายความเงียบ


หยิน หยิน —
ตอนเธอพูดถึงการสงบปากสงบคำในสังคมเอเชียทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมฉันถึงเป็นคนชอบโต้เถียง!



Honey —
Can publishing be taught?


Amy —
In a way, teaching is publishing because it is circulating. Moreover, I write my course material, make it visible by way of engaging with my students. And in this way, my students can be considered my public or community of people whom I dialogue with. Within this space, knowledges are exchanged, cultivated and absorbed. Perhaps I’m extending the meanings of publication and publishing, but that’s what I like.

As a supervisor at XPUB, Clara and I call ourselves Book Midwives. Clara mainly works with students on editorial aspects; production of content, making tables of content, determining number of images or amount of pages and words. Clara also collaborated with Publication Studio Rotterdam to print out graduation catalogues. I work on the curatorial aspect of the publication; making the content public, producing a show, and guiding how to communicate the concept with the public. I’m not playing a curator, I don’t have a curatorial background. I just facilitate students to co-curate their own works.



ฮันนี่ —
การตีพิมพ์สอนได้มั้ย?


เอมี่ —
จริงๆ แล้วการสอนก็ถือว่าเป็นการตีพิมพ์นะ เพราะว่ามันเป็นการเผยแพร่  ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเขียนเนื้อหาสำหรับหลักสูตร และทำให้มันถูกมองเห็นด้วยการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน ในแนวทางนี้ นักเรียนของฉันนับว่าเป็นสาธารณชนของฉัน หรือชุมชนของคนที่ฉันพูดคุยด้วย ในพื้นที่นี้ความรู้ได้ถูกแลกเปลี่ยน ปลูกฝัง และซึมซับ ฉันอาจจะเพิ่มเติมความหมายของสิ่งพิมพ์และการตีพิมพ์ออกไปมากอยู่ แต่นั่นคือสิ่งฉันชอบ

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในหลักสูตร XPUB คลาร่ากับฉัน เรียกตัวเองว่าหมอทำคลอดหนังสือ โดยส่วนใหญ่คลาร่าทำงานกับนักเรียนด้านบรรณาธิการ ช่วยในการผลิตเนื้อหาและรูปเล่ม อย่างส่วนของสารบัญ จำนวนรูปภาพ จำนวนหน้าและคำ คลาร่าทำงานร่วมกับ Publication Studio รตเตอร์ดัม เพื่อพิมพ์แคตตาล็อกงานจบของนักเรียน

ฉันดูแลด้านการคิวเรทเนื้อหาของสิ่งพิมพ์ ช่วยในการทำให้เนื้อหานั้นออกไปสู่สาธารณะ ดูแลวิธีสื่อสารแนวความคิดกับสาธารณชน เช่น การผลิตโชว์ ฉันขอไม่เรียกตัวเองว่าคิวเรเตอร์ เพราะไม่ได้ฝึกมาในด้านนี้ ฉันแค่คอยสนับสนุนให้นักเรียนคิวเรทงานของพวกเขาเอง


Honey —
What is social practice?


Yin Yin —
Publishing is a social practice. A marketplace is also social. But to have a practice means to continuously reiterate moments, performances, objects or acts to hone or activate that exchange in different ways. Otherwise, it’s just there. That’s also what a publication studio does. Every publication is different. We have different events. We speak to different people. It’s always practising and making it public.


ฮันนี่ —
อะไรคือการทำงานเชิงสังคม?


หยิน หยิน —
การตีพิมพ์คือการทำงานเชิงสังคม ตลาดนัดก็เป็นสังคม แต่จะเรียกว่าทำงานเชิงสังคมได้จะต้องทำให้มีการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของช่วงเวลา การแสดง วัตถุ และการกระทำต่างๆ เพื่อทำให้การแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นชัดเจนขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะแค่มีสังคมอยู่ตรงนั้นเฉยๆ นั่นคือสิ่งที่ Publication Studio ทำ ทุกๆ สิ่งพิมพ์นั้นต่างกัน แต่ละอีเว้นท์ก็ต่างกัน เราพูดกับผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย มันคือการฝึกฝนและการทำให้มันเป็นสาธารณะอยู่เสมอ




Honey —
What is zine? How is it different or similar to publication?


Amy —
Zines
 are a form of publication that are self-published and have a rich DIY culture. Self publishing or alternative publishing is interesting because if you look back in history, it started as ways to find comrades or like-minded people who have the same political views, or to counter hegemony. For instance, there were self published pamphlets by a radical group called the Ranters in the 17th century that held heretical views on religion, politics and sex (can you imagine, they were pro free love?!). There were science fiction fanzines in the 1930s during the great depression. There were   punk-zines that operated as proto social networks. 

In this way, you can say that one of self-publishing’s aims is to reach a specific public, or community of like-minded souls. And perhaps for this reason, zine culture historically was an underground subculture.



ฮันนี่ —
ซีนคืออะไร และแตกต่างหรือคล้ายกับสิ่งพิมพ์ยังไง?


เอมี่ — 
ซีนเป็นรูปแบบของสิ่งพิมพ์ที่เป็นการผลิตด้วยตนเอง (self-published) และมีความร่ำรวยอยู่ในวัฒธรรมดีไอวาย (Do it yourself) มันน่าสนใจเพราะถ้ามองย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ มันเริ่มขึ้นจากการเป็นวิถีทางที่เอาไว้หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ คนที่มีความคิดใกล้เคียงกัน มีแนวคิดทางการเมืองแบบเดียวกัน หรือเอาไว้สู้กับอิทธิพลและอำนาจ อย่างหนังสือเล่มเล็กๆ (pamphlet) ที่พิมพ์โดยกลุ่มที่เรียกว่า Ranters ในคริสตศตวรรษที่ 17 ที่ยึดถือมุมมองแบบนอกรีตทางศาสนา การเมือง และเพศสภาพ (คุณเชื่อมั้ยว่า คนกลุ่มนี้ตั้งแต่สมัยนั้นก็สนับสนุนอิสระในความรัก ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศ หรือการต้องแต่งงานก่อนอยู่กินด้วยกัน!) หรืออย่างในช่วงปี 1930 ก็มีงานเขียนนิยายวิทยาศาสตร์แบบแฟนซีนออกมาในช่วงที่มีเหตุการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอเมริกา และยังมีพังก์ซีนที่เป็นรากฐานของโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ในแนวทางนี้ คุณสามารถพูดได้ว่าเป้าหมายของการตีพิมพ์ด้วยตนเองนั้นเป็นไปเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนจำเพาะ หรือชุมชนที่มีจิตวิญญาณคล้ายกัน และอาจด้วยเหตุผลนี้ วัฒนธรรมซีนในประวัติศาสตร์จึงมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มใต้ดิน



Honey —
Have you ever worked together? Do you want to?


Amy —
I wanted to work with Yin Yin on launching Thunderclap at Publication Studio a few years ago.



ฮันนี่ —
เคยทำงานด้วยกันมั้ย แล้วอยากทำงานด้วยกันมั้ย?


เอมี่ —
ฉันเคยอยากทำงานกับหยิน หยินในการออกโปรเจกต์ Thunderclap ที่ Publication Studio เมื่อหลายปีก่อน


Honey — Can you tell us more about Thunderclap?


Amy — Thunderclap came from the time when I was doing an artist residency in Beijing. I was interested in the technique of steganography, which is a technique of hiding something in plain sight. It’s like camouflage but with a focus on communication mediums. Anyway while I was in Beijing, I found the work of a Chinese anarcho-feminist by the name of He-Yin Zhen in 1907 who wrote about feminism, socialism, Marxism and anarchism. According to the editors of her work in an English translation, her work and legacy was gradually erased over time. I decided to republish her work steganographically because I feared that if I published the work explicitly, the work would be taken down again. So I used clothing accessories such as patches and ribbons as a subversive publishing technique because it parasites on clothes and bodies. The patch, which I see as a wearable zine, consists of He-Yin Zhen’s quotes in English with a QR code that when passerby’s scan, downloads the PDF of her essay in Chinese.


ฮันนี่ — เล่าโปรเจกต์ Thunderclap ให้ฟังหน่อยได้มั้ย?


เอมี่ — Thunderclap เริ่มมาจากตอนที่ฉันไปประเทศจีนแล้วไปเป็นศิลปินพำนักที่ประเทศจีนในปักกิ่ง ฉันสนใจเรื่อง steganography หรือวิทยาการการอำพรางข้อมูลในที่แจ้ง ซึ่งเป็นเทคนิคในการซ่อนอะไรบางอย่างแบบเนียนๆ มันคล้ายๆ กับการทำลายพราง แต่เน้นไปที่สื่อที่ใช้ในการสื่อสาร ตอนที่ฉันอยู่ที่ปักกิ่ง ฉันเจอผลงานของนักอนาธิปไตยเฟมินิสต์ที่ใช้ชื่อว่า เหอ-หยิน เฉิน ที่เขียนขึ้นในปี 2450 เธอเขียนเกี่ยวกับเฟมินิสต์ สังคมนิยม มาร์กซิส และอนาธิปไตย ตามคำกล่าวของบรรณาธิการในฉบับแปลภาษาอังกฤษของงานชิ้นนี้ เธอบอกว่าผลงานและตำนานอันนี้จะค่อยๆ ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา ฉันเลยตัดสินใจตีพิมพ์งานของเธออีกครั้งด้วยเทคนิคการอำพรางข้อมูลในที่แจ้ง เพราะว่าฉันกลัวว่าถ้าฉันตีพิมพ์งานของเธอแบบโจ่งแจ้ง มันจะถูกทำลายไปอีก ฉันเลยใช้เครื่องประดับตกแต่งผ้า อย่างชิ้นส่วนปะผ้า และริบบิ้น โดยมองว่าการปะเป็นเทคนิคการตีพิมพ์แบบลับๆ เพราะมันไปเป็นปรสิตอยู่บนเสื้อผ้า และร่างกาย ฉันมองชิ้นส่วนปะผ้าเป็นเหมือนซีนที่สวมใส่ได้ ในนั้นมีโควทจากเหอ-หยิน เฉิน ในภาษาอังกฤษ และคิวอาร์โค้ดที่ถ้าใครที่ผ่านไปมาสแกน จะสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาเป็น PDF ในภาษาจีนได้


Honey — Why clothing?


Amy — In China, you can find random words printed on clothes. This is Shanzhai Fashion. Often these words are nonsensical English as they are not meant to be read within the context of China. They are in fact decorative elements which symbolize coolness and hipness precisely because it is ‘Western’. I used this phenomenon as a way to hide He-Yin Zhen’s work in plain sight. I have it here.


ฮันนี่ — ทำไมต้องเป็นเสื้อผ้า?


เอมี่ —
ในประเทศจีน คุณสามารถมองเห็นคำที่เลือกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบนลายเสื้อผ้า มันเรียกว่าแฟชั่นของก๊อป (Shanzhai Fashion) มีบ่อยๆ ที่คำภาษาอังกฤษพวกนี้ไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะมันไม่ได้มีไว้อ่านอยู่แล้ว ในบริบทของประเทศจีน มันเป็นการตกแต่งเสื้อผ้าด้วยสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเท่ และฮิป เพราะมั้นเป็นอะไรที่มาจาก ‘ตะวันตก’ ฉันใช้ปรากฎการณ์นี้ในการอำพรางงานของเหอ-หยิน เฉิน ในที่แจ้ง นี่ฉันก็ใส่อยู่



Honey —
Would people read it here more when you wear this jacket?


Amy — Yes, because people here can read English more readily. It’s a whole different level of engagement. In China, when people see the English words , it’s like a  cool visual thing. But Chinese people are more likely to ‘read’ the QR code. Whereas in Rotterdam people will read the text and care less about the QR code because it’s not widely used here.



ฮันนี่ —
ถ้าคุณใส่แจ๊กเกตนี้รตเตอร์ดัม คุณว่าคนที่นี่จะอ่านข้อความมากว่ามั้ย?


เอมี่ — มากกว่า เพราะว่าคนที่อ่านภาษาอังกฤษออกได้มากกว่า มันเป็นการเข้าถึงงานในคนละระดับเลย ที่จีน พอคนเห็นคำภาษาอังกฤษ เค้ามักจะคิดว่า เจ๋งดี แต่กลับสนใจคิวอาร์โค้ด ในขณะที่คนที่นี่จะอ่านข้อความมากกว่าสนใจ คิวอาร์โค้ด เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนใช้กันเป็นส่วนมาก


Honey — What are you personally interested in or working on at the moment?


Yin Yin — We’re working on a project  about publishing in public space. Distribution through public space is an ongoing interest of mine personally. I feel graphic design is much angled to it. It’s a language in public space that is forced upon the public usually. I’m always interested in how to infiltrate public language and visual language for means outside of the institutional and advertorial ones. With this project, we’re trying to find how readership and circulation of work is translated into public pieces.


ฮันนี่ — ช่วงนี้กำลังสนใจเรื่องอะไรหรือทำงานอะไรกันอยู่?


หยิน หยิน — ตอนนี้เรากำลังทำโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับการตีพิมพ์ในพื้นที่สาธารณะ การเผยแพร่สู่พื้นที่สาธารณะคือความสนใจส่วนตัวของฉันมาตลอด ฉันรู้สึกว่ากราฟิกดีไซน์ มันเกี่ยวโยงอยู่กับพื้นที่นี้อย่างอ้อมๆ มันคือภาษาที่ใช้ในพื้นที่สาธารณะที่โดยปกติแล้วถูกควบคุมให้อยู่เหนือสาธารณชน ฉันสนใจว่าเราจะสามารถแทรกซึมภาษา และภาพเหล่านี้ยังไงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกไปนอกความเป็นสถาบัน และการโฆษณา ในโปรเจกต์นี้เราตั้งใจที่จะหาว่าผู้อ่านและการหมุนเวียนผลงานจะถูกแปลงไปเป็นชิ้นงานสาธาณะได้ยังไง


Honey —
What are you personally interested in or working on at the moment?


Amy — I’m interested in publishing in a context where sensitive information is censored in the everyday landscape. Apart from Thunderclap, another work of mine that explores this is the exhibition Hutong Whispers, a steganographic catalogue of steganographic publishing projects camouflaged as a laundry line. The exhibition co-opts three omnipresent elements in the Chinese urban landscape – bedsheets; Shanzhai fashion; and QR codes – exploring them as covert media to publish sensitive and suppressed knowledge. This installation was designed to be eventually placed back into the traditional residential alleys of Beijing or hutongs, so that it may return back to its natural habitat, the context by which it was originally inspired.

I’m also starting a publishing project with my mother. It started last year when I visited her in Australia. She used to run a dry cleaning and alteration shop and I spent some time with her there and thought about the idea of repair not only of clothes but also our relationship that has been torn by time, distance and history. She told me that she wanted to publish a book about her life one day, so I suggested that she draw as she used to be an artist in China. The idea is to publish drawings in combination with my biographical writing on something that i’m  working on called an ‘embodied publication’. I’m interested in how the body can perform and publish at the same time? How to perform and publish work on the body in everyday spaces outside institutions? In this project, I’m excited to explore ways to publish embodied knowledges from immigrant bodies such as my mother. The act of making visible these invisible stories that are at the same time intimate and political is my next challenge.


ฮันนี่ —
ช่วงนี้กำลังสนใจเรื่องอะไรหรือทำงานอะไรกันอยู่?


เอมี่ — 
ฉันสนใจในการตีพิมพ์ในบริบทที่ซึ่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนถูกเซ็นเซอร์ในภูมิทัศน์ของชีวิตประจำวัน นอกจาก Thunderclap แล้ว งานอื่นๆ ของฉันที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีนิทรรศการ Hutong Whispers เป็นแคตตาล็อกอำพราง ที่ตีพิมพ์ด้วยวิทยาการอำพรางข้อมูลในที่แจ้ง ในลักษณะของการตากผ้า นิทรรศการนี้เป็นการเอาสิ่งที่อยู่ทั่วๆ ไปสามสิ่งในภูมิทัศน์ประเทศจีนมารวมกัน คือผ้าปูที่นอน แฟชั่นของก๊อป และคิวอาร์โค้ด โดยศึกษามันในฐานะที่เป็นสื่อแฝง ในการตีพิมพ์เรื่องละเอียดอ่อน และตีพิมพ์ความรู้ที่ถูกกดทับไว้ งานอินสตอลเลชั่นนี้ถูกออกแบบให้ถูกติดตั้งกลับไปในพื้นที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมในปักกิ่ง ถามตรอกเล็กๆ ที่เรียกว่าหูตง โดยคาดหวังว่ามันจะกลับสู่นิสัยโดยธรรมชาติของมัน และกลับสู่บริบทเดิมอันเป็นที่มาของแรงบันดาลใจนี้

ตอนนี้ฉันก็กำลังทำโปรเจกต์ร่วมกับแม่ มันเริ่มต้นเมื่อปีก่อนตอนที่ฉันไปเยี่ยมแม่ที่ออสเตรเลีย แม่ของฉันเคยเปิดร้านรับทำความสะอาดเสื้อผ้า และซ่อมเสื้อผ้าอยู่ที่นั่น ฉันได้ไปใช้เวลากับเธอที่นั่นด้วย เลยทำให้คิดถึงการซ่อมไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือความสัมพันธ์ของเราสองคนที่ถูกตัดขาดด้วยเวลา ระยะทาง และประวัติศาสตร์ แม่บอกว่าอยากที่จะพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับตัวเองสักวันนึง ฉันเลยแนะนำให้แม่วาดภาพเพราะแม่เคยเป็นศิลปินตอนอยู่ที่ประเทศจีน ไอเดียคือฉันจะตีพิมพ์ภาพวาดของแม่กับข้อเขียนในรูปแบบชีวประวัติ เกี่ยวกับ ‘การก่อรูปร่างของสิ่งพิมพ์’ ฉันสนใจในคำถามที่ว่า ร่างกายจะสามารถแสดงและตีพิมพ์ไปพร้อมๆ กันได้มั้ย เราจะแสดงออกและตีพิมพ์บนร่างกายของเราในชีวิตประจำวันนอกสถาบันได้ยังไง ในโปรเจกต์นี้ ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ศึกษาแนวทางในการตีพิมพ์ความรู้ที่เป็นรูปร่างขึ้นจากการย้ายถิ่นฐานของร่างกาย อย่างเช่นแม่ของฉัน การพยายามจะทำให้เรื่องที่มองไม่เห็น ถูกมองเห็นไปพร้อมๆ กันอย่างใกล้ชิดและเป็นการเมือง เป็นความท้าทายต่อไปของฉัน



Honey —
Do you think the infrastructure of Rotterdam helps the thriving of publication or not?


Yin Yin —
I think it definitely helps. I find Rotterdam to be uncompetitive and generous. If you wanna do something or you want to start something, you can do it. People will come. People will help. People will visit and people will return. Strong and generous local community. I love Rotterdam. It has an underground scene and it doesn’t ask for your attention. It’s humble.



ฮันนี่ —
คิดว่าโครงสร้างพื้นฐานของรตเตอร์ดัมช่วยให้สิ่งตีพิมพ์เติบโตมากขึ้นมั้ย?


หยิน หยิน —
ฉันว่ามันช่วยเยอะเลย ฉันว่ารตเตอร์ดัมมีบรรยากาศที่คนไม่ได้มีการแก่งแย่งกันชิงดีกันและมีน้ำใจ ถ้าคุณอยากทำอะไรหรืออยากเริ่มทำอะไรบางอย่าง คุณก็ทำได้ ผู้คนก็จะมาอุดหนุน มาเยี่ยมเยียน มาช่วยเหลือ แล้วก็จะกลับมาอีก รตเตอร์ดัมมีบรรยากาศที่ชุมชนในท้องถิ่นเหนียวแน่น ฉันรักรตเตอร์ดัม ที่นี่มีความเคลื่อนไหวใต้ดินก็เยอะ ซึ่งเป็นแบบเรียบง่าย สมถะ ไม่ได้ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณมากมายอะไร


Honey — What about you Amy?


Amy — I have a love-hate relationship with Rotterdam but I’m in my loving phase. I understand Rotterdam only when I’m outside of it because you can’t understand your environment until you leave. It has given me a lot of opportunity. When I first moved here 14 years ago, Rotterdam was still very white but there was space to do your own thing. There was a strong squatting movement and people were very supportive of each other. Now it’s a better spot because people start to stay and build community. In the past, people would come and leave.


ฮันนี่ — แล้วเอมี่ล่ะ?


เอมี่ — ฉันทั้งรักทั้งเกลียดรตเตอร์ดัม แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงรักอยู่ ฉันจะเข้าใจรตเตอร์ดัมแค่เฉพาะตอนที่ฉันออกไปอยู่ที่อื่นเท่านั้น เพราะว่าคนเราจะเข้าใจสิ่งรอบตัวเองได้ก็ต่อเมื่อไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นแล้ว ตอนที่ฉันมาที่รตเตอร์ดัมครั้งแรกเมื่อ 14 ปีที่แล้ว รตเตอร์ดัมยังมีแต่คนผิวขาวแต่ก็ยังพอมีพื้นที่ให้คนที่อยากทำอะไรก็ทำได้ แนวคิดของการเข้าไปยึดพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ มันแข็งแรงมาก และคนก็คอยช่วยเหลือกันและกัน ตอนนี้กำลังดีละ คนเริ่มลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ มีการสร้างชุมชนและลงทุนต่างๆ ในสมัยก่อนคนมาแล้วก็ไป



Honey —
What kind of public is needed for the flourishing of publication?


Yin Yin — The ones that welcome challenges. We’re looking for a dialogue. It’s not for everyone. So you have to bring a little effort to the table. And the ones who enjoy physical books.



ฮันนี่ —
เราต้องมีสาธารณชนแบบไหนที่จะช่วยให้สิ่งพิมพ์เติบโตได้?


หยิน หยิน —
สาธารณชนที่ยอมรับความท้าทาย เพราะว่าเราต้องการการพูดคุย สิ่งพิมพ์ของ Publication Studio อาจไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกคน ดังนั้นผู้อ่านต้องพยายามทำความเข้าใจไปกับเราด้วยนิดนึง และต้องเป็นคนที่ชอบหนังสือแบบจับต้องได้เป็นเล่มๆ อยู่


Honey — 
What public do you seek? 


Amy — I agree with Yin Yin. It should be a dialogue. It’s not just a public but it should be a community. Like it shouldn’t be one-way communication but a conversation. You can do that with a community because they give back. 

What public do I seek? I think the public with willing to engage. The public that takes time to read, understands, thinks of critical questions and challenges me.But I think more and more, the public I seek is one that can help me understand and articulate my experiences of diaspora, otherness and violence.


ฮันนี่ — สนใจสาธารณชนแบบไหน?


เอมี่ —
ฉันเห็นด้วยกับหยิน หยินว่ามันต้องมีบทสนทนา และไม่ใช่แค่มีสาธารณชนเฉยๆ แต่ต้องเป็นชุมชน มันไม่ควรจะเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว แต่ต้องมีบทสนทนา มันจะเกิดสิ่งนั้นขึ้นเมื่อเป็นชุมชนเพราะเค้าจะให้อะไรบางอย่างกลับมา

ถ้าถามว่าสาธารณชนแบบไหนที่ฉันมองหา คงเป็นสาธารณชนที่พร้อมที่จะร่วมมือ ตั้งใจอ่านอย่างละเอียด ทำความเข้าใจ มีคำถามเชิงวิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายฉันฉันคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า สาธารณชนที่ฉันมองหาคือกลุ่มคนที่สามารถช่วยฉันทำความเข้าใจ และให้ความกระจ่างกับประสบการณ์ของการพลัดถิ่น ความเป็นอื่น และความรุนแรง



Honey —
We come to the last question. Your future speculation about publication.


Liu Chao-tze —
no one can guarantee what’s gonna happen



ฮันนี่ —
คำถามสุดท้ายเป็นคำถามให้คุณคาดการณ์อนาคตของสิ่งพิมพ์


หลิว จ้าวฉือ —
ไม่มีใครการันตีได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น


Amy —
Yin Yin, I need your help.


Yin Yin —
(on the phone with Clara) I need to help Amy answer a question.


เอมี่ — หยิน หยิน มาช่วยหน่อย


หยิน หยิน — (กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับคลาร่า) ฉันต้องไปช่วยเอมี่ตอบคำถาม


Clara Balaguer (Clara) —
Hi. Oh my god! I’m so sorry I couldn’t make it.


Honey —
It’s ok but I will give you the toughest question.


คลาร่า บาลาแกร์ (คลาร่า) — สวัสดี โอ้มายก๊อด ฉันขอโทษมากๆ ที่มาไม่ได้


ฮันนี่ — ไม่เป็นไร แต่ว่าฉันจะให้เธอตอบคำถามที่อยากที่สุดแล้วกัน


Honey —
How will publication be in 2030?


Clara — Thinking of the work that we’re doing at XPUB. I think it’s a synchronisation between physical and online teaching. The course manual The course manual for example will take more prominence and  be more expressive. It will make visible what’s happening in the classroom. Gray matter or gray literature, something that is only published for internal uses, will become a more deliberate space. More intentional effort put into the development, design and circulation of the course manual can be a way to liberate education from institutional confines. This would be an interesting thing in terms of education.

In terms of politics, in the Philippines, the cyber crime law called the Anti-Terror Bill makes it easier for the government to execute control and harass political dissenters, even small ones, even people who post critical opinions of their personal facebook accounts. I think we might see a small-scale resurgence in print as a safer place and as a way to evade surveillance.

Since more and more political campaigns are on social platforms, in another ten years, I would like to see political campaigns in a short form of publishing like in a single image-text vignette or a meme. Memes will become a more extensive form of publishing. How can you cram a political campaign into a single image that may lead to a larger publication?

I think Amy’s practice is also interesting. The idea that a single image can be a publication. QR code is a wearable clue that leads you to a bigger publication or content that exists elsewhere.

Yin Yin’s practice in Publication Studio is a different form of circulation. The circulation of publications that are printed outside the usual channel and governed by the community in various places. Circulation like what Publication Studios are doing will be more important in the act of publishing.


ฮันนี่ — สิ่งตีพิมพ์ในปี 2573 จะเป็นยังไง?


คลาร่า —
คิดถึงการทำงานของฉันที่ XPUB ฉันว่ามันจะมีการเชื่อมกันระหว่างการสอนในห้องเรียนกับการสอนแบบออนไลน์  ฉันว่าคู่มือเรียนจะมีความหมายมากขึ้น มันจะแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียนจริงๆ ตัวอย่างเช่น สิ่งพิมพ์ที่เป็น grey matter ที่เอาไว้ใช้เฉพาะภายในองค์กรเท่านั้น จะถูกปล่อยออกมาเป็นเรื่องสาธารณะมากขึ้น การเผยแพร่ของคู่มือเรียนนี้ก็อาจจะเป็นวิธีหนึ่งจะปลดปล่อยการศึกษาออกนอกห้องเรียนและข้อจำกัดของสถาบันได้ สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจในแง่มุมของการศึกษา

ในแง่ของการเมือง อย่างในฟิลิปปินส์ มีกฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ที่เรียกว่าเป็นการต่อต้านการก่อการร้าย เป็นกฎหมายที่ทำให้รัฐบาลควบคุมคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้ง่ายขึ้น เอาไว้ใช้ข่มขู่ปรปักษ์ทางการเมือง พลเมืองตัวเล็กๆ หรือแม้กระทั่งคนที่โพสต์ความเห็นเชิงวิพากษ์ลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว  ฉันคิดว่าเราจะได้เห็นสิ่งพิมพ์ขนาดเล็กกลับมาเฟื่องฟู เพื่อที่จะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย และปลอดจากการตรวจตราของรัฐมากขึ้น

เพราะว่าพวกการรณรงค์เกี่ยวกับการเมืองมักจะอยู่บนพื้นที่ทางสังคม ในอีกสิบปี ฉันอยากที่จะเห็นมันอยู่ในรูปแบบการพิมพ์ที่กระชับขึ้น อย่างบทความพร้อมภาพประกอบแบบสั้นๆ หรือว่ามีม มีมจะเป็นรูปแบบการตีพิมพ์ที่ขยายตัวกว้างขึ้น คำถามคือเราจะบีบอัดการรณรงค์เกี่ยวกับการเมืองเข้าไปในภาพภาพเดียว แล้วค่อยให้มันนำไปสู่สิ่งพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ยังไง

ฉันคิดว่างานของเอมี่ก็น่าสนใจ ในแนวคิดของการที่ภาพภาพเดียวก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งพิมพ์ได้ คิวอาร์โค้ดเป็นรหัสลับบนเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ เป็นร่องรอยที่นำไปสู่สิ่งพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือ เนื้อหาที่ตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้

การทำงานของหยิน หยินกับ Publication Studio ก็เป็นรูปแบบการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ที่ต่างออกไป การพิมพ์สิ่งพิมพ์ขึ้นมานอกช่องทางปกติ และมีการดูแลกันเองในกลุ่มชุมชนของตัวเองจากหลากหลายพื้นที่ การเผยแพร่งานแบบที่ Publication Studio ทำ จะถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในแวดวงของการตีพิมพ์


Yin Yin — Publication Studio is much a peer to peer network. It’s so much like a physical manifestation of freedom that the internet gives to people. You can connect peer to peer and transmit information.


I could fantasise that people start producing things that distribute outside of Amazon (amazon.com) or any form of institutional distributing contexts.


Amy —
A bunch of people in China are already doing this. Setting self-published zines to dodge the surveillance in China. Making it at home and distributing it physically and analogly for the bypassing of political restriction.


หยิน หยิน — Publication Studio ค่อนข้างเป็นการเชื่อมต่อบนเครือข่ายขนาดเล็ก (peer to peer network) มันเหมือนกับการประกาศจุดยืนให้เห็นเป็นรูปธรรมถึงอิสรภาพที่อินเทอร์เน็ตมอบให้กับผู้คน คุณแค่เชื่อมต่อกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน


ฉันหวังว่าคนจะเริ่มผลิตสิ่งต่างๆ ที่จะขายได้นอกตลาดอย่างอะเมซอน (amazon.com) หรือนอกบริบทการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสถาบัน


เอมี่ — มีคนหลายคนทำแล้วนะที่จีน เค้าตีพิมพ์สิ่งพิมพ์กันเอง เพื่อเป็นการหลบหลีกการตรวจตราของทางการจีน เป็นการทำกันเองที่บ้าน และส่งต่อกันเองอย่างง่ายๆ เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางการเมือง

[BOOKMARK MAGAZINE] ISSUE 03 • IDENTITY IN CRISIS: ON HOW FASHION IS VALUED AND THE ALTERED MEANING OF LUXURY


Kamonnart Ongwandee (Ung) —
 First, I would like you guys to introduce yourself and the beginning of your brand. Could you tell me a little bit about your background, your upbringing and what brought you to fashion?


Shone Puipia (Shone) —
 I was born and based in Bangkok. I grew up in an artistic atmosphere, both of my parents are artists. I knew that I wanted to go into fashion when I was  in my last two years of high school. Back then I was taking French class at the Alliance Français and got a chance to try taking pattern making classes there. I really fell in love with the practical, crafted side of it, turning something two dimensional to three dimensional in a way like making sculpture with fabric. That’s the kind of starting point. Then I researched where I could do my study and discovered Dries Van Noten from reading a book. It opened my eyes to the Antwerp school and the Belgian designers. I fell in love with their works and their ways of thinking. That was how I decided to apply to the fashion department at Antwerp Academy (Royal Academy of Fine Arts Antwerp). It has an art school atmosphere. It is quite small, like a community. And its works are different from other places. I was there for four years from 2012 until I graduated in 2016. I stayed for a year afterward to do some projects with friends. I moved back to Bangkok in 2017 and really started the Shone Puipia brand.


กมลนาถ องค์วรรณดี (อุ้ง) — อยากให้ช่วยแนะนำตัวและเล่าจุดเริ่มต้นของแบรนด์ให้ฟังหน่อย โชนมีแบ็คกราวด์และการเติบโตยังไง อะไรทำให้สนใจทำแฟชั่น?


โชน ปุยเปีย (โชน) — เราเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ในบ้านที่มีบรรยากาศของศิลปะ ทั้งพ่อและแม่เป็นศิลปิน เรารู้ว่าตัวเองอยากทำแฟชั่นช่วงสองปีสุดท้ายตอนเรียนม.ปลาย ตอนนั้นกำลังเรียนภาษาฝรั่งเศสที่สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ แล้วมีโอกาสได้ลองเรียนคลาสสร้างแพทเทิร์นเสื้อผ้าที่นั่น เราตกหลุมรักการทำแพทเทิร์นตรงที่มันมีความเป็นงานฝีมือ เป็นการเปลี่ยนงานสองมิติให้เป็นงานสามมิติ เหมือนสร้างงานประติมากรรมด้วยผ้า นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น หลักจากนั้น เราเริ่มทำรีเสิร์ชว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน แล้วได้รู้จักชื่อ ดรีส ฟาน โนเทน (Dries Van Noten) จากหนังสือเล่มนึงที่อ่าน มันเปิดโลกเราให้รู้จักโรงเรียนที่อันท์เวิร์ป ให้รู้จักดีไซเนอร์เบลเยี่ยม เราตกหลุมรักงานและวิธีการคิดงานของพวกเขา เลยตัดสินใจสมัครเรียนแผนกแฟชั่นที่อันท์เวิร์ปอะคาเดมี่ (Royal Academy of Fine Arts Antwerp) ที่โรงเรียนมีบรรยากาศของโรงเรียนศิลปะ เป็นโรงเรียนเล็กๆ เหมือนเป็นคอมมูนิตี้ แล้วงานที่นั่นก็ต่างจากที่อื่นๆ เราอยู่ที่นั่นสี่ปีตั้งแต่ปี 2555 จนถึงตอนเรียนจบเมื่อปี 2559 แล้วอยู่ต่ออีกปีเพื่อทำโปรเจกต์กับเพื่อน เราย้ายกลับมากรุงเทพฯ ตอนปี 2560 แล้วถึงเริ่มแบรนด์ โชน ปุยเปีย แบบจริงจัง


Ung —
What about you Lauren?


Lauren Yates (Lauren) —
 I never learned fashion design in any formal sense. I was born in Hong Kong and when I was two I moved to Thailand and when I was eight my family relocated to Australia. After I graduated from high school, I decided I wanted to be an artist. So, I went to Sydney College of the Arts and I studied photography. For me, it was a very confusing time because I thought I would learn a technical profession and I could use that in a real world. But the art school that I went to was a postmodern system where they threw technique out the window and they burnt down all understanding or the meaning I had in my head, it left me just in complete confusion. Without problem solving skills, framework of your art practice, and your techniques, you have no tools to solve any questions. After a year of trying to work as an artist from the time I graduated, I decided I wanted to move back to Bangkok, retrace my steps and figure out who I am. Moving back to Bangkok, I fell into modelling as some people might do when they are lost (laughter). I had a lot of time in waiting rooms to think about being and that’s when I started Ponytail Journal to write and explore things I was interested in. So, I committed myself to making a framework to write at least one article every single day. I did that for three years straight. I’d been contacted by a bunch of magazines to write for them like Vogue Australia. I wrote about style and culture for them for about three years. I was very fortunate to explore the world in different ways, to have a platform that allowed me to interview people that I felt really important. I got an opportunity to interview Nigel Cabourn, a British menswear designer whose practice I really respected. When we had the interview, we got along straight away and we became great friends. He’s the person who told me to think about starting my own fashion line, selling it on my own site. So, I partnered up with a guy called Ben Viapiana, a Canadian denim tailor who was based in Bangkok. We started on a really tight small collection, like, only six styles in three colorways that were all very small-batch, and tailor made on vintage denim machines.  Nigel taught me everything about fashion design, creating, and running a business. For some reason he was kind enough to introduce me to his business partner, a distributor in Japan. The first collection we launched in Japan only, doing wholesale with my random, small collection of canvas like workwear. From then on, I sold in Japan for four seasons and decided I wanted to be more independent so I started the wholesale circuit independently in Paris and in New York. That’s how I got where I got to now.


อุ้ง —
แล้วลอเรนล่ะ มีจุดเริ่มต้นยังไง?


ลอเรน เยทส์ (ลอเรน) — เราไม่เคยเรียนออกแบบแฟชั่นแบบจริงๆ จังๆ เลย เราเกิดที่ฮ่องกง ตอนสองขวบก็ย้ายมาอยู่เมืองไทยก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียตอนแปดขวบ หลังจบไฮสกูล เราอยากเป็นศิลปิน เลยไปเรียนที่
วิทยาลัยศิลปะซิดนีย์ (Sydney College of the Arts) ตอนนั้นเป็นช่วงที่สับสนมาก เพราะคิดว่าเราจะได้เรียนเทคนิคในการทำงานที่เอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง แต่โรงเรียนศิลปะที่เราเรียนเป็นระบบโพสต์โมเดิร์นที่โยนเทคนิคทิ้งนอกหน้าต่าง เผาทุกอย่างที่เราเข้าใจหรือความหมายที่เราคิดว่าเรารู้ไปหมด เหมือนทิ้งเราไว้แบบมืดแปดด้าน พอคุณไม่มีทักษะในการแก้ปัญหา ไม่มีกรอบการทำงานศิลปะ ไม่รู้เทคนิค คุณก็ไม่มีเครื่องมือในการแก้ปัญหาเลย หลังพยายามเป็นศิลปินหลังเรียนจบอยู่ปีนึง เราตัดสินใจย้ายกลับมากรุงเทพฯ ย้อนดูว่าเราเป็นใครและอยากทำอะไร พอย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ก็มีโอกาสได้ทำงานเป็นนางแบบ คือตอนนั้นมันเป็นงานที่คนที่กลับมาจากเมืองนอกจะลองทำดูเวลาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี (หัวเราะ) ทีนี้ ระหว่างที่ต้องนั่งรอทำงาน ซึ่งมีเวลาค่อนข้างเยอะ เราก็เริ่มคิดถึงชีวิตตัวเอง ตอนนั้นเลยเริ่มทำไดอารี่ออนไลน์ชื่อ Ponytail Journal เขียนถึงเรื่องที่สนใจ ตั้งใจวางกรอบให้ตัวเองว่าจะเขียนอย่างน้อยวันละบทความทุกวัน ตอนนั้นทำติดต่อกันสามปีเต็ม มีนิตยสารติดต่อเข้ามาให้เขียนบทความให้เยอะ อย่างโว้ก ออสเตรเลีย ก็มาให้เราเขียน เราเขียนเกี่ยวกับสไตล์และคัลเจอร์ประมาณสามปี โชคดีที่มีโอกาสได้เดินทางไปที่ต่างๆ มีแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ได้สัมภาษณ์คนที่เราคิดว่าสำคัญ ครั้งนึงเรามีโอกาสสัมภาษณ์ ไนเจล คาร์บอร์น (Nigel Cabourn) ดีไซเนอร์อังกฤษที่เราเคารพในแนวคิดการทำงานของเขามาก หลังสัมภาษณ์ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน เขาเป็นคนบอกให้เราลองคิดเรื่องทำไลน์แฟชั่นแบรนด์ขายในเว็บของเราเอง เราเลยเข้าหุ้นกับ เบน เวียเปียน่า (Ben Viapiana) ช่างตัดกางเกงเดนิมจากแคนาดาที่อยู่ที่กรุงเทพฯ พวกเราเริ่มจากการทำคอลเลกชั่นเล็กๆ มีกางเกงแค่หกทรงสามสี เป็นเดนิมวินเทจที่ผลิตจำนวนไม่มาก ไนเจลเป็นคนสอนเราทุกอย่างเกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น การสร้างและทำธุรกิจ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาใจดีแนะนำเรากับหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายในญี่ปุ่น จากนั้น เราทำคอลเลกชั่นแรกที่มีวางเฉพาะที่ญี่ปุ่นเป็นแบบขายส่ง เป็นงานสไตล์เวิร์กแวร์ตัดเย็บจากผ้าแคนวาส หลังจากนั้น เราทำงานขายที่ญี่ปุ่นอยู่สี่ซีซั่น ก่อนตัดสินใจว่าอยากทำแบรนด์ขายส่งของตัวเองแบบอิสระที่ปารีสกับนิวยอร์ก นั่นทำให้เรามาถึงจุดที่อยู่ตอนนี้  


Ung —
For your concept and inspiration of your brand Shone Puipia where did you get your inspiration or your creative sources? Where does it flow from?


Shone —
It’s very hard to pinpoint on one thing. I really loved doing collages. Before I started designing collections I like to think of what atmosphere or stories I have been moved by. I always went for the medium of collage, collecting source images, chopping them up, making new images out of it. It helps me a lot with my thinking process. In a way, a cloth is like a collage of things, from art, from film, from music, from historical periods. Everything is matched up to tell my own story. Collection 2020
Cloudbusting was initially going to be a collaborative performance with Barcelona-based singer-songwriter, Uma Bunnag. Her music and the notion of ‘the performer’ was integral to the design process. We were also looking a lot at female Baroque artists, such as Artemisia Gentileschi and Elisabetta Sirani, and worked to capture the gestures from those paintings into a sophisticated wardrobe for today.


pic. 1 — The Wild Bunch Collage Book © Shone Puipia


pic. 2 — “Mockingbird” by Uma Bunnag © Shone Puipia


pic. 3 — Self-Portrait as Saint Catherine of Alexandria by Artemisia Gentileschi


pic. 4 — Portia Wounding Her Thigh (is a scene from Roman history) by Elisabetta Siran 

I spent a lot of time with my family at museums, going to art shows and exhibitions, and going to the movies a lot, watching all kinds of films. For the historical aspect in my work I think it started from my second year in school. There was a historical costume project that we had to pick up a costume from source painting and research on how everything was made, from undergarments like corset to the haute couture layer. I had a great time working on that. There are a lot of details in structure, the way things were made historically that you can play with in a new way now, apply them to modern day clothing. Most recently for Collection 2020 Cloudbusting, I wanted to explore new ideas in tailoring and looked a lot into the construction and patterns of 18th-century cutaway court coats. Not only was I intrigued by the architectural aspects of these pieces, but also how their elegant sweeping lines can subvert traditionally masculine aspects of the ‘suit’.


pic. 5 — Zouave jacket is a historical costume that is popular in America in the 19th Century © Shone Puipia


pic. 6 — A corset inspired costume. © Shone Puipia


pic. 7 — Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 lookbook © Shone Puipia


pic. 8 — Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 lookbook © Shone Puipia


อุ้ง —
สำหรับโชน แนวคิดและแรงบันดาลใจในการทำแบรนด์โชน ปุยเปียมาจากไหน มีที่มาจากอะไร


โชน —
สรุปออกมาเป็นอย่างเดียวยากอยู่ เราชอบทำคอลลาจ ก่อนจะทำคอลเลกชั่น เราจะคิดถึงบรรยากาศหรือเรื่องราวที่เรารู้สึกไปกับมัน เราเลือกสื่อความรู้สึกผ่านงานคอลลาจเสมอ สะสมภาพต่างๆ ตัดเป็นรูปทรง แล้วมาสร้างเป็นภาพใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งช่วยในกระบวนการคิดงานของเรามาก ในแง่หนึ่ง เสื้อผ้าเป็นเหมือนคอลลาจของสิ่งต่างๆ ตัดแปะขึ้นมาจากศิลปะ จากภาพยนตร์ จากดนตรี หรือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ แต่ละสิ่งถูกจับคู่เข้าด้วยกันเพื่อเล่าเรื่องในแบบของเราเอง อย่าง Cloudbusting คอลเลกชั่นปี 2563 เดิมทีจะออกมาเป็นการแสดงที่เราทำร่วมกับอุมา บุนนาค นักร้องและนักแต่งเพลงที่อยู่ที่บาร์เซโลน่า เพลงและแนวคิดเกี่ยวกับ ‘นักแสดง’ ของอุมาได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการออกแบบคอลเลกชั่นนี้ พวกเรายังกลับไปดูงานศิลปินบาโรกหญิงอย่าง อาร์เตมิเซีย เจนทิเลสคิ (Artemisia Gentileschi) และเอลิซาเบตต้า ซิรานิ (Elisabetta Sirani) และจับเอาท่าทีในภาพวาดเหล่านั้นมาสร้างเครื่องแต่งกายที่มีรายละเอียดซับซ้อนที่เหมาะกับปัจจุบัน 


รูป 1 — The Wild Bunch Collage Book © Shone Puipia


รูป 2 — “Mockingbird” โดย อุมา บุนนาค © Shone Puipia


รูป 3 — ภาพแคทเทอรีนแห่งอเล็กซานเดรีย วาดขึ้นจากภาพวาดเหมือนตนเอง โดย อาร์เตมิเซีย เจนทิเลสคิ


รูป 4 — ปอเตียร์แทงต้นขาตนเอง (ภาพวาดจากประวัติศาสตร์โรมัน) โดย เอลิซาเบตต้า ซิรานิ

เราใช้เวลาส่วนใหญ่กับครอบครัว ไปพิพิธภัณฑ์ ไปชมงานศิลปะ ไปดูนิทรรศการ แล้วก็ได้ดูหนังเยอะมาก ดูทุกแนว ส่วนแง่มุมที่มาจากประวัติศาสตร์ในงานออกแบบของเราน่าจะมาจากตอนเรียนปีสอง มีโปรเจกต์ทำคอสตูมจากภาพวาดที่ต้องให้เราศึกษาว่าชุดที่เห็นในภาพนั้นตัดเย็บขึ้นมาได้อย่างไร ตั้งแต่ชุดชั้นในอย่างคอร์เซ็ต ไปจนถึงชั้นนอกเป็นงานโอต คูตูร์ เราสนุกมากตอนทำโปรเจกต์นั้น มีรายละเอียดเยอะแยะในโครงสร้างของเสื้อผ้า วิธีที่สิ่งต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในประวัติศาสตร์ ที่คุณสามารถเล่นกับมันด้วยวิธีการใหม่ๆ ได้ในตอนนี้ แล้วประยุกต์ใช้มันทำเสื้อผ้าสมัยใหม่ กลับมาที่คอลเลกชั่นปี 2563 Cloudbusting เราอยากทดลองการตัดเย็บใหม่ๆ และกลับไปดูการขึ้นโครงสร้างของเสื้อผ้าและแพทเทิร์นของเสื้อโค้ตหางยาวแบบราชสำนัก (cutaway court coat) ในศตวรรษที่ 18 นอกจากเราจะตื่นเต้นกับแง่มุมเชิงสถาปัตยกรรมในเสื้อโค้ตพวกนี้ เรายังสนใจเส้นสายที่ดูสวยสง่า ที่สามารถทำลายแง่มุมความเป็นชายของ ‘เสื้อสูท’ ลงได้


รูป 5 — เสื้อแจคเก็ตที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายในประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า Zouave jacket เป็นที่นิยมในช่วงคริศตศตวรรษที่ 19 ในอเมริกา © Shone Puipia


รูป 6 — ชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากโครงเสื้อคอร์เซ็ต © Shone Puipia


รูป 7 — ลุคบุ๊ค Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 © Shone Puipia


รูป 8 — ลุคบุ๊ค Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 © Shone Puipia


Ung —
What about you, Lauren?


Lauren —
W’menswear’s slogan is ‘hard-hitting garments for hard-hitting women’. I think the brand is about finding meaning, and understanding what it means to exist today. I find it helpful to look at history and to understand what paved the way to where we are now. Every collection we look into a specific point of time in history that might mirror something that is happening now. And just like Shone, we use ‘collage’ to put together our research. For example, Spring 20 that’s out now is called
Tektite IV. So we looked into the post Cold War period. We looked into war technology that was developed in the Cold War, and how it was actually used for scientific research after the Cold War ended. These technologies were used to map the ocean floor, which we’d never mapped beforehand. Then we found the deepest point on earth, the Mariana Trench, using sonar technology and deep sea submarines. We discovered a lot about our planet and we were able to advance science due to this chaotic thing that was war. That’s a way I explore the forces of order and chaos, and how we kind of always exist on this fine line between the two. If you sway too far on either end of the scale it can lead to being out of balance. For example, you lean too far to order, you have Marxism or Stalin’s regime in Russia and that became a form of oppression. Millions of people died. That led to the Cold War. And from that chaos, order forms. It’s like the Yin and Yang symbol, or the really old symbol of a dragon eating its tail. It’s like a repeating cycle that you see in nature,  science, and the universe in itself. When we do the research, we gather information on a big coakboard in the studio.  We look at the materials and the colours which Shone probably relates to, seeing all the pieces together in one place. You see new patterns forming, you see colours that keep repeating themselves and you see technology. For me, the creative process comes from looking into yourself and the context you’re in.


pic. 7 — A collage board for W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


pic. 8 — Sylvia Earle displays samples to aquanaut inside Tektite. The Tektite habitat was an underwater laboratory which was the home to divers during Tektite I and II programs, exploring the deep ocean. Tektite II ran by the first all-female team of aquanauts, led by Sylvia Earle.


pic. 9 — Tektite II ran by the first all-female team of aquanauts, led by Sylvia Earle.


pic. 10 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


pic. 11 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


pic. 12 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


pic. 13 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates

อุ้ง — แล้วของลอเรนล่ะ เป็นมายังไง


ลอเรน —
สโลแกนของ W’menswear’s คือ ‘hard-hitting garments for hard-hitting women’ (เสื้อผ้าจริงจังสำหรับผู้หญิงจริงใจ) เราคิดว่าแบรนด์ของเราพูดถึงการหาความหมายและความเข้าใจการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เราพบว่าการมองกลับไปในประวัติศาสตร์และทำความเข้าใจว่าอะไรช่วยกรุยทางให้เรามาถึงทุกวันนี้ช่วยเราในการทำงานมากๆ ทุกๆ คอลเลกชั่น เราจะกลับไปดู ณ จุดๆ หนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่อาจจะสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ แล้วก็เหมือนโชน เราใช้การคอลลาจในการเชื่อมสิ่งที่เราศึกษาเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น งานคอลเลกชั่นสปริง 20 ที่เพิ่งออกมาชื่อ Tektite IV เรากลับไปดูช่วงหลังสงครามเย็น เราดูเทคโนโลยีการสงครามที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสงครามเย็น ว่ามันถูกนำไปใช้ในทางวิทยาศาสตร์อย่างไรหลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น มีเทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการทำแผนที่มหาสมุทรแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน จนทำให้สามารถค้นพบจุดที่ลึกที่สุดของโลกหรือร่องลึกก้นสมุทรมาเรียน่า (the Mariana Trench) ด้วยการใช้เทคโนโลยีโซนาร์และเรือดำน้ำลึก เราค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกของเรา และเราสามารถพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ไปข้างหน้าได้ด้วยสิ่งที่โกลาหลและวุ่นวายอย่างสงคราม นี่เป็นวิธีที่เราใช้สำรวจระหว่างความเป็นระเบียบและความวุ่นวาย และการที่เราต้องอยู่บนเส้นคั่นบางๆ ระหว่างสองสิ่งนี้ ถ้าคุณเอนไปจนสุดทางไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม มันก็อาจนำไปสู่การเสียสมดุลย์ได้ เช่น ถ้าเอนไปทางความเป็นระเบียบมากเกินไป คุณจะได้มาร์กซิสต์หรือระบอบเผด็จการแบบสตาลิน ซึ่งเป็นการกดขี่รูปแบบหนึ่งที่นำมาสู่สงครามเย็น ที่คนเป็นล้านๆ คนต้องเสียชีวิตลง มันเหมือนคุณหมุนเป็นวง เป็นสัญลักษณ์หยินหยาง หรือสัญลักษณ์โบราณที่เป็นมังกรกินหางตัวเอง เป็นวัฏจักรที่คุณเห็นในธรรมชาติ ในวิทยาศาสตร์ และในจักรวาล ตอนทีมเราศึกษาเรื่องนี้ เราได้ข้อมูลต่างๆ ที่เราพินไว้บนบอร์ดไม้คอร์กที่สตูดิโอ ไว้ดูเรื่องของวัสดุและสี แบบที่โชนเองก็คงทำเหมือนกัน จะได้เห็นภาพรวมของทุกอย่าง คุณจะเห็นแพทเทิร์น เห็นสีที่โผล่ขึ้นมาทุกครั้ง และเห็นเทคโนโลยีที่ใช้ สำหรับเรา กระบวนการสร้างงานมาจากการมองกลับเข้าไปในตัวเองและดูว่า เมื่อไหร่ที่จะเอาออกมาเป็นงาน


รูป 7 — บอร์ดไม้คอร์กคอลลาจสำหรับ W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 8 — ซิลเวียร์ เอิร์ล โชว์ตัวอย่างให้กับนักประดาน้ำภายใน Tektite ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการใต้น้ำ และบ้านของนักประดาน้ำในโครงการสำรวจก้นมหาสมุทรระหว่างโปรแกรม Tektite I และ Tektite II ในครั้งที่สองเป็นทีมนักประดาน้ำผู้หญิงทั้งหมดเป็นครั้งแรก นำทีมโดย ซิลเวียร์ เอิร์ล


รูป 9 — โครงการ Tektite II ประกอบด้วยนักประดาน้ำผู้หญิงทั้งหมด นำทีมโดย ซิลเวียร์ เอิร์ล


รูป 10 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 11 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 12 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 13 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


Shone —
It’s difficult to explain the process. It comes intuitively when you look into resources.


Lauren —
 Talking about intuition, I am really interested in Jungian physiological theory that is ordering and chaos. Where chaos represents the feminine, and order represents the masculine. Every single one of us, whether it’s a tree or a person, a man or a woman.  We have male-female energy inside us. That’s Yin and Yang. Intuition is chaos, a female energy, and modern culture is so power hungry that it is not listened to anymore. We see that in modern history especially around the Sixties where our culture shifted quite drastically, the focus went away from religion and morality to power, and power is a very masculine energy. While intuition, a feminine quality has been pushed under the rug. What’s interesting about art and why I’m always drawn back to art is it is a sensory experience; intuition, something you can feel and somehow try to figure out. You just know inside that the feminine spirit is being pushed as a kind of second class, subservient quality in modern society. I feel like it’s lacking, so I can totally relate to that.


โชน —
มันยากเวลาให้อธิบายกระบวนการทำงาน มันเป็นไปเองตามสัญชาตญาณเวลาคุณเห็นของที่คุณมีอยู่ในมือ


ลอเรน —
ถ้าพูดถึงสัญชาตญาณ เราสนใจทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของจุง (Carl Jung) เกี่ยวกับความเป็นระเบียบและความโกลาหล ความโกลาหลเป็นตัวแทนของความเป็นหญิง ส่วนความเป็นระเบียบเป็นตัวแทนของความเป็นชาย เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นคน เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เรามีพลังความเป็นชาย-หญิงนี้อยู่ในตัว นี่คือหยินหยาง สัญชาตญาณคือความโกลาหล คือพลังความเป็นหญิงที่กระหายในอำนาจแต่ไม่ได้ถูกรับฟังในวัฒนธรรมสมัยใหม่ เราเห็นเลยว่าในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหกศูนย์ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากศาสนาและศีลธรรมไปสู่พลังอำนาจ และพลังอำนาจนี้มีความเป็นชายสูงมาก ในขณะที่สัญชาตญาณซึ่งมีคุณสมบัติเป็นหญิงถูกผลักไปซุกไว้ใต้พรม สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับศิลปะและเหตุผลที่เราถูกดึงดูดกลับไปหาศิลปะ เป็นเพราะมันให้ประสบการณ์ทางอารมณ์ความรู้สึก เป็นสัญชาตญาณ สิ่งที่คุณรู้สึกถึงมันและพยายามขบคิดเกี่ยวกับมัน ลึกๆ ข้างในคุณรู้ว่าสปิริตความเป็นหญิงกำลังถูกกดลงไปเป็นคุณลักษณะชั้นสองในสังคมสมัยใหม่ เราคิดว่าสิ่งนี้กำลังขาดหายไป ดังนั้นเราเลยเข้าใจมันมากๆ


Ung —
Yeah, it’s something I try to acknowledge everyday about suppression of feminine quality, this gentle power within all of us that is suppressed. It was one of my big drives for art as well. So I totally relate to this. I want to ask you a little bit more about this concept of Yin Yang and female male power. It must be related to your brand, right? Because the name of the brand is W’menswear. As a woman how did you become interested in workwear, menswear as inspiration? How does that address this balance you are trying to express in this world? How does it come to W’menswear?


Lauren —
It’s really a good question. Like Shone, it was an intuitive process to start with. I started the brand in 2013, so it has been a bit of a journey since then. The narrative of the brand is almost like my own reflection of myself trying to find meaning in life. I was raised in a (white) privileged, tight-knit, top percentile of society. I acknowledge that and I’m here because of that. I went to a girl’s school in Australia and my family raised me to be a powerful, competitive career woman. We got the idea that women have to compete against each other, but inside I felt something wasn’t right. My narrative is a woman wearing men’s clothes because it’s a narrative that I grew up in. But when you look at how we communicate and how we depict our narrative, there’s a soft feminine spirit, because I tried to figure out where the balance is. So, when you see the look book it’s about really high-vibe feelings of cooperation. It’s about friendship, it’s about intuition, a really soft feminine spirit but we’re wearing men’s clothes. Accidentally it’s a political statement that I didn’t really intend for, but we don’t realize that everything we do is politicized.


pic. 14 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


pic. 15 — W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


pic. 16 —W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 lookbook © Lauren Yates


อุ้ง —
ใช่เลย เรื่องการกดขี่คุณลักษณะความเป็นหญิงเป็นเรื่องที่เราพยายามทำให้เป็นที่ยอมรับอยู่ตอนนี้ พลังอ่อนโยนที่มีอยู่ตัวเราทุกคนนี้กำลังโดนกดไว้อยู่ เป็นหนึ่งในแรงขับใหญ่ในการทำงานศิลปะของเราเหมือนกัน เราก็เข้าใจเรื่องนี้มากๆ อยากถามต่ออีกนิดเรื่องแนวคิดของหยินหยาง และพลังแบบหญิงชาย มันเกี่ยวกับแบรนด์ของลอเรนใช่ไหม เพราะชื่อแบรนด์ก็เป็น W’menswear’s ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ลอเรนสนใจและได้แรงบันดาลใจเสื้อผ้าสไตล์เวิร์กแวร์หรือเสื้อผ้าผู้ชายยังไง มันแสดงให้เห็นสมดุลย์ที่พยายามแสดงออกยังไง และมันกลายมาเป็นแบรนด์ W’menswear ได้ยังไง


ลอเรน —
คำถามนี้ดีมากเลย ก็เหมือนโชนนะ ทุกอย่างเริ่มต้นและเป็นไปตามสัญชาตญาณ เราเริ่มทำแบรนด์ตอนปี 2556 ถ้าเป็นการเดินทาง เราก็มาไกลเหมือนกันจากตอนนั้น เรื่องเล่าของแบรนด์ของเราแทบจะเป็นเหมือนภาพสะท้อนของตัวเราเองในการหาความหมายของชีวิต เราโตมาแบบมีอภิสิทธิ์ของคนขาวในกลุ่มคนที่แทบจะมีแค่เปอร์เซ็นต์เดียวในสังคม และเรารับรู้และยอมรับว่าตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะอภิสิทธิ์ตรงนี้เหมือนกัน เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วนตอนอยู่ออสเตรเลีย และที่บ้านก็เลี้ยงเราให้เป็นผู้หญิงแกร่งเรื่องการทำงาน เราถูกปลูกฝังความคิดที่ว่าผู้หญิงเราต้องแข่งกัน แต่ลึกๆ แล้วเราคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เรื่องราวของแบรนด์เราคือผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าของผู้ชาย เพราะนี่คือเรื่องเล่าในแบบที่เราโตขึ้นมา แต่ถ้าคุณดูวิธีที่เราสื่อสารและวิธีที่เราเลือกเล่าเรื่องราวของเรา จะเห็นพลังความเป็นหญิงที่เราพยายามดึงสมดุลกลับมาให้เห็น ดังนั้น ถ้าดูในลุคบุ๊คของเรา จะเห็นความรู้สึกเรื่องความร่วมมือกันนี้อยู่สูง เป็นเรื่องของมิตรภาพ ของสัญชาตญาณ สปิริตความเป็นหญิงที่อ่อนโยนทั้งๆ ที่เรากำลังสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชาย และมันบังเอิญมากที่มันเองเป็นกลายไปเป็นสเตทเมนต์ของเราในแบบที่เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ได้คิดเลยว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างที่เราทำเกี่ยวกับเรื่องนี้หมดเลย



รูป 14 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 15 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


รูป 16 — ลุคบุ๊ค W’menswear Tektite IV Spring/Summer 2020 © Lauren Yates


Ung —
So what about Shone. How did you see making of women’s clothes delimited the idea of gender? Or making menswear or womenswear doesn’t exist anymore in your collection or in your vision? Does it matter to you?


Shone —
Right now our collection is genderless. It’s women when I started my first collection but it sort of comes from my personal desire that I was missing out on the clothes for myself. That was when we started to land this kind of traded female-male clothing breaking down those ideas. It’s clothes for everyone. You should have fun with it. It doesn’t matter if you are boys or girls. You can wear anything and any colors. Personally when I go shopping I don’t only look into the mens department but also women. A lot of the time I find there are a lot more interesting details in womenswear and that’s when I felt lacking in the world. That’s what I try to do here now, making clothes fun again for everyone, high heels shoes for everyone whether boys or girls.


pic. 17 — The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


pic. 18 — Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 lookbook © Shone Puipia


pic. 19 — Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 lookbook © Shone Puipia


อุ้ง —
แล้วโชนล่ะ การทำเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นการลบข้อจำกัดทางความคิดเรื่องเพศมั้ย หรือแนวคิดการทำเสื้อผ้าผู้ชายหรือเสื้อผ้าผู้หญิงไม่อยู่ในการคอลเลกชั่นหรือในวิสัยทัศน์ของแบรนด์อยู่แล้ว หรือมันสำคัญกับโชนมั้ย?


โชน —
ตอนนี้คอลเลกชั่นของเราไม่มีเพศ ตอนทำคอลเลกชั่นแรกทำเสื้อผ้าผู้หญิง แต่มันมาจากความต้องการส่วนตัวของเราที่รู้สึกว่ามันหายไปจากเสื้อผ้าสำหรับตัวเราเองด้วย นั่นคือตอนที่เราเริ่มไอเดียที่อยากจะเบรกดาวน์พื้นที่ของเสื้อผ้าแบบหญิง-ชาย ให้มันกลายเป็นเสื้อผ้าของทุกคน คุณควรสนุกกับเสื้อผ้าไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คุณจะใส่อะไรก็ได้ ใส่สีอะไรก็ได้ ส่วนตัวเวลาเราไปช้อปปิ้ง เราไม่ได้ดูแค่แผนกเสื้อผ้าผู้ชายแต่ดูแผนกเสื้อผ้าผู้หญิงด้วย หลายครั้งที่เห็นดีเทลเสื้อผ้าที่น่าสนใจในเสื้อผ้าผู้หญิงที่เรารู้สึกว่ามันขาดหายไปในโลกของแฟชั่นตอนนี้ นั้นเลยเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ ทำเสื้อผ้าที่ทุกคนสนุกไปกับมันขึ้นมาอีกครั้ง ทำส้นสูงให้ทุกคนใส่ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง


รูป 17 — The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


รูป 18 — ลุคบุ๊ค Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 © Shone Puipia


รูป 19 — ลุคบุ๊ค Shone Puipia Cloudbusting Collection 2020 © Shone Puipia


Ung —
When you moved back to Bangkok and started the collection based in Thailand, did the environment or the context of Bangkok change the way you work or influence you differently?


Lauren —
I started my brand in Thailand. So, it started up using Thai materials and Thai labour. Without context, you have no product. So, the biggest part of the business is the Thai context, because that’s where we were making our products, and the end product is what the customer interacts with. What’s really interesting about Thailand is the revival of the cottage industries, which was a huge revival movement in the 90s and then later on again in 2005ish. I think it’s a really important narrative, a history. Thailand needs to continue to support these industries because it continues tradition and employs a lot of women who might not necessarily go into the workforce, because they need to take care of their children and they need to look after their communities. ‘Cottage industry’ is the way they can make income on their terms. We went to Roi Et where we made hand woven indigo and naturally dyed fabrics with the villagers who had been doing that for their whole life. Most of the weavers are getting old now and there are not many young people in the village who want to take over that tradition. I think any producers in Thailand or Thai designers really need to support ‘Thai made’ and traditional practices. That’s so important. It’s really important to continue our internal economy and to also show the world that Thai made is freaking awesome. This real racist kind of stigma that ‘made in Thailand’ means ‘shit’. At the trade shows, when people see my brand is from Thailand, there is some judgement. Then when they see a white face as the face of this brand, their opinion might change. That’s my white privilege that I use to educate other white people. I think the rest of the world needs to get over with this. The more we progress, the more cultures mix, the more globalized we become. The fashion industry to me is a super white industry, super racist, and a super old-school highbrow institution. I think Thai designers need to feel proud of made in Thailand,
but need to be aware that the stakes are high and quality needs to be of the highest standard.


pic. 20 — A trip to Roi Et. © Lauren Yates


pic. 21 — Weaver community, Roi Et © Lauren Yates


pic. 22 — Weaver community, Roi Et © Lauren Yates


อุ้ง —
ตอนที่ย้ายกลับมากรุงเทพฯ และเริ่มทำคอลเลกชั่นที่เมืองไทย บริบทและสิ่งแวดล้อมที่กรุงเทพฯ เปลี่ยนวิธีที่คุณสองคนทำงานหรือมีอิทธิพลให้การทำงานเปลี่ยนไปมั้ย?


ลอเรน —
เราเริ่มทำแบรนด์ที่เมืองไทย ก็เลยเริ่มจากการใช้วัสดุที่หาได้ในเมืองไทยและทำงานกับช่างไทย ถ้าไม่มีบริบท คุณก็ไม่มีสินค้า ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจคือบริบทไทยนี่แหละเพราะนี่คือที่ที่เราผลิตงานของเรา และงานที่สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างนี้เองคือสิ่งที่ลูกค้าจะได้มาสัมผัสมันในท้ายที่สุด สิ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับเมืองไทย คือการฟื้นคืนของอุตสาหกรรมในครัวเรือน ซึ่งกลับมาช่วงยุค 90 และช่วงประมาณปี 2548 เราคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ด้วย เมืองไทยต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ เพราะเป็นการสืบทอดประเพณีและช่วยให้เกิดการจ้างงานให้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเข้าไปเป็นแรงงาน ให้เขายังสามารถอยู่ดูแลลูก อยู่ดูแลบ้านในหมู่บ้านได้ ‘อุตสาหกรรมในครัวเรือน’ เป็นวิธีหารายได้ที่ตรงกับเงื่อนไขในการใช้ชีวิตของพวกเขา ล่าสุดเราเพิ่งไปที่ร้อยเอ็ดกันมา ซึ่งเป็นที่ที่เราทำผ้าย้อมครามและผ้าย้อมสีธรรมชาติกับช่างทอในหมู่บ้านที่ทำผ้าทอเป็นอาชีพมาทั้งชีวิต ช่างทอส่วนใหญ่อายุมากแล้ว และไม่ค่อยมีคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่อยากสืบทอดประเพณีการทอนี้ต่อ เราคิดว่าผู้ผลิตเสื้อผ้าในเมืองไทยหรือดีไซเนอร์ไทยต้องสนับสนุนการผลิตในไทยและสืบทอดประเพณีการทอนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเพื่อตัวคุณเองหรือวัฒนธรรมของคุณเอง นี่สำคัญมากๆ ต้องสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจในท้องถิ่น และแสดงให้โลกเห็นว่างานที่ทำขึ้นในไทยเยี่ยมยอดแค่ไหน เรื่องเหยียดเชื้อชาติที่เคยตราหน้าสินค้าเมดอินไทยแลนด์ว่าเป็นขยะควรจะหมดไปได้แล้ว เวลาเราไปออกงานเทรดโชว์ เวลาใส่ชื่อประเทศไทยลงไปในป้ายประเทศว่าแบรนด์นี้มาจากประเทศไหน ภาพของแบรนด์เราจะถูกตัดสินไปแล้วล่วงหน้า จนเมื่อเขาเห็นว่าเราเป็นคนขาว ตอนนั้นเขาถึงอาจจะเปลี่ยนไปความคิด นั่นคืออภิสิทธิ์คนขาวที่เราพยายามจะบอกกับคนอื่นๆ เราคิดว่าโลกต้องเลิกคิดแบบนี้ได้แล้ว ยิ่งเราพัฒนาไปได้มากเท่าไหร่ วัฒนธรรมจะยิ่งผสมผสานกันมากขึ้น เป็นโลกาภิวัฒน์มากขึ้น อุตสาหกรรมแฟชั่นสำหรับเราแล้วเป็นอุตสาหกรรมคนขาวมากๆ เหยียดเชื้อชาติมากๆ มีความเป็นสถาบันแบบโอลด์สกูลมากๆ ด้วย เราคิดว่าดีไซเนอร์ไทยควรภูมิใจในงานที่เมดอินไทยแลนด์ ในขณะที่ก็ต้องตระหนักว่าการเดิมพันมันสูง และคุณภาพของผลงานจะต้องมีมาตราฐานสูงสุดด้วย



รูป 20 — ภาพจากทริปที่จังหวัดร้อยเอ็ด © Lauren Yates


รูป 21 — ชุมชนช่างทอจังหวัดร้อยเอ็ด © Lauren Yates


รูป 22 — ชุมชนช่างทอจังหวัดร้อยเอ็ด © Lauren Yates


Ung —
I’m running the Fashion Revolution Thailand, you may have heard of this movement. I always host the event and discussion on the topics such as sustainability or ethical manufacturing or local weavers. Despite the growing numbers of consumers who join the conversations each year, to be honest the mainstream media or mainstream fashion magazine doesn’t really catch up with this conversation or the global conversation. Now you can see like British Vogue, Vogue America or Vogue Italia already talked about diversity and racism in their articles and really picked up the global issues like Black Lives Matter or diversity in general. So I think socio-political aspects of fashion weren’t really a big thing here just yet. But with young designers like you guys and my students at Chulalongkorn University, I see that a new generation is very ambitious about this subject and very political in everything they do.


pic. 23 — Meeting the local weavers who grow and dye cotton, an activity ran by Fashion Revolution Thailand. In the picture is ‘Ken Fai’ the process of spinning cotton thread to use in fabric weaving © Fashion Revolution Thailand


pic. 24 — Meeting the local weavers who grow and dye cotton, an activity ran by Fashion Revolution Thailand. In the picture is ‘Ken Fai’ the process of spinning cotton thread to use in fabric weaving © Fashion Revolution Thailand


Pic. 25 — Clothing swap activity ran by Fashion Revolution Thailand © Fashion Revolution Thailand


Lauren —
I have a point when you talked about the Fashion Revolution. I think in the Thai narrative right now we are following the west. I think it’s really important for the Thai narrative not to take, not to reflect, not to mirror what is politically and culturally happening in the west but to see what’s going on and make our own narrative here. I hate this idea that the west is right always, and the west knows the best – because culturally in Asia, we have such different values. You can’t apply one system to the whole world. That’s all.


อุ้ง —
เราทำ Fashion Revolution Thailand ไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง เราจัดอีเวนท์มีการคุยกันในหัวข้ออย่างความยั่งยืน หรือจรรยาบรรณในการผลิตหรือช่างทอท้องถิ่น ถึงจำนวนผู้บริโภคที่สนใจเรื่องเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ถ้าพูดกันแบบเปิดอก สื่อกระแสหลักหรือนิตยสารแฟชั่นกระแสหลักยังตามบทสนทนาในหัวข้อพวกนี้ หรือเรื่องที่โลกกำลังสนใจพวกนี้ไม่ทัน ตอนนี้คุณเริ่มเห็นโว้กอังกฤษ โว้กอเมริกา หรือโว้กอิตาลี พูดเรื่องความหลากหลายและการเหยียดเชื้อชาติในบทความของพวกเขา และหยิบประเด็นระดับโลกอย่างเรื่อง Black Lives Matter หรือความหลากหลายโดยทั่วไปบ้าง ดังนั้น เราคิดว่าแง่มุมทางสังคมการเมืองของแฟชั่นยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในตอนนี้ แต่เราเห็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ๆ อย่างโชนและลอเรน และนักศึกษาเราที่จุฬาฯ ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในประเด็นพวกนี้ และมีจุดยืนเรื่องพวกนี้ในทุกอย่างที่พวกเขาทำ


รูป 23 — กิจกรรมพูดคุยทำความรู้จักช่างทอผ้าที่ปลูกและย้อมฝ้ายเอง เพื่อเข้าใจวิถีชีวิตพื้นถิ่น โดย Fashion Revolution Thailand การ ‘เข็นฝ้าย’ หรือปั่นฝ้ายจากปุยฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย เพื่อนำมาทอผ้าของตนเอง © Fashion Revolution Thailand


รูป 24 — กิจกรรมพูดคุยทำความรู้จักช่างทอผ้าที่ปลูกและย้อมฝ้ายเอง เพื่อเข้าใจวิถีชีวิตพื้นถิ่น โดย Fashion Revolution Thailand การ ‘เข็นฝ้าย’ หรือปั่นฝ้ายจากปุยฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย เพื่อนำมาทอผ้าของตนเอง © Fashion Revolution Thailand


รูป 25 — กิจกรรมแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า โดย Fashion Revolution Thailand © Fashion Revolution Thailand


ลอเรน —
เรามีประเด็นอยากเสริมตอนอุ้งพูดถึง Fashion Revolution เราคิดว่าเรื่องเล่าแบบไทยๆตอนนี้ เราก็ยังกำลังตามกระแสตะวันตกอยู่ เราคิดเรื่องเล่าแบบไทยไม่ควรจะตาม สะท้อน หรือแสดงให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกตะวันตกทั้งในเชิงวัฒนธรรมหรือการเมือง แต่ควรมองและเล่าเรื่องราวสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองไทยตอนนี้ เราเกลียดแนวคิดที่ว่าโลกตะวันตกถูกเสมอ ที่ตะวันตกถูกเสมอ เป็นเพราะในเอเชียเราให้คุณค่าเชิงวัฒนธรรมในแบบที่ต่างออกไปต่างหาก เราไม่สามารถประยุกต์ใช้ระบบเดียวกับโลกทั้งใบได้ ประมาณนี้ที่อยากเสริม


Ung —
Yeah. I agree I feel like the whole thing that they were talking about is stemming from the west and the problem of the west as you know stemmed from colonisation like Indians and other asian countries and now they are crying for sustainability. I am always aware of that.


Shone —
I see that the young Thai brand here we are trying to promote or win back to the craftsmanship of making clothes or winning back the quality. It doesn’t have to be anything mass produced, that’s what we try to do with the brand. That was also the reason we wanted to start up with everything made to order in order to keep offering that quality in our clothes. It’s also special to our clients as they can get the clothes that have been thought through and really made for them, using special techniques or handmade techniques. I feel like that’s a value that we should move towards in this time.


อุ้ง —
ใช่ อันนี้เห็นด้วย เรารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่เขากำลังพูดกันอยู่ตอนนี้มีต้นทางมาจากตะวันตก และปัญหาของโลกตะวันตกอย่างที่คุณก็รู้กัน ก็มาจากการล่าอาณานิคม อย่างเรื่องอินเดียนแดงและประเทศในเอเชียอื่นๆ แล้วมาตอนนี้พวกเขากำลังเรียกร้องขอเรื่องความยั่งยืนเหรอ เราเห็นตรงจุดนี้ด้วยเหมือนกัน


โชน —
เราเห็นแบรนด์ไทยใหม่ๆ กำลังโปรโมทหรือชนะใจผู้บริโภคด้วยฝีมือในการทำเสื้อผ้า หรือเรื่องคุณภาพการตัดเย็บ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นการผลิตในจำนวนมาก และเป็นสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่กับแบรนด์ของเรา และยังเป็นเหตุผลที่เราต้องการเริ่มทำทุกอย่างเป็นแบบสั่งตัดหรือสั่งผลิตอย่างเดียว เพื่อจะได้ยังสามารถคงคุณภาพให้กับลูกค้าผ่านเสื้อผ้าของเราได้ แถมสำหรับลูกค้าแล้ว เขายังได้เสื้อผ้าที่ผ่านการออกแบบตัดเย็บมาอย่างดีเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะด้วยเทคนิคพิเศษหรือเทคนิคทำมือต่างๆ อีกด้วย เราคิดว่านั่นคือคุณค่าที่เราควรจะไปต่อในช่วงเวลานี้


Ung —
Absolutely. Can I ask you all about your audiences? It seems like the market that dominates Thai’s fashion industry is fast fashion, mass-production and low-quality manufacturing. But what you guys work is very special and very rare among Thai designers. I think one of the main barriers for people to support this group of designers is maybe pricing but I believe they are a group of people who believe and want to support this idea of fashion and invest in this quality garments. Maybe you can explain to me more about each of your audience, and your clients. What kind of person was drawn or attracted by your works from the starting of the brand?


Lauren —
 I have very few customers in Thailand and I know that is because of my price point. The W’menswear customer is a socially conscious woman. The biggest market for our online store is in the US and then probably followed by Australia, Korea and then the UK. But on social media there are many Thai followers. It’s a dinosaur model of wholesale in fashion that drives my pricing up so much. My business is 75% wholesale which is crazy. That system has never adapted to the changing online market and now it’s a challenge how to readapt with Covid. Right now the trade shows will postpone to at least next year. No one wants to go to the showrooms, or to the fashion shows overseas because… no travel. So a lot of businesses are trying to figure out what the new game is, when the model of seasonal spring-summer / autumn-winter is really passé.


อุ้ง —
แน่นอน ขอถามเรื่องลูกค้าของแบรนด์ทั้งสองคนได้มั้ย ตอนนี้เหมือนตลาดที่ครองอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอยู่คือตลาดฟาสต์แฟชั่น การผลิตแบบจำนวนมาก และการตัดเย็บที่ไม่มีคุณภาพนัก สิ่งที่โชนกับลอเรนทำอยู่ค่อนข้างพิเศษมาก และไม่ค่อยมีดีไซเนอร์ไทยทำกันเท่าไหร่ เราคิดว่ากำแพงหลักๆ เลยสำหรับคนที่อยากจะสนับสนุนดีไซเนอร์ในกลุ่มนี้น่าจะเป็นเรื่องของราคา แต่เราก็เชื่อว่ามีกลุ่มคนที่เชื่อและพร้อมสนับสนุนไอเดียแฟชั่นแบบนี้และยอมลงทุนในเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ เลยอยากให้ช่วยอธิบาย
กลุ่มลูกค้าของแบรนด์หน่อย ว่าเป็นกลุ่มคนแบบไหนที่ถูกเสื้อผ้าของแบรนด์ดึงดูดมาเป็นลูกค้า ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มทำแบรนด์เลย


ลอเรน —
เรามีลูกค้าในเมืองไทยไม่กี่เจ้า และเรารู้เลยว่าเป็นเพราะราคาของเรา ลูกค้าของ W’menswear เป็นกลุ่มที่มีจิตสำนึกทางสังคม ตลาดแฟชั่นออนไลน์ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือที่สหรัฐฯ แล้วก็อาจจะเป็นออสเตรเลียที่รองลงมา ตามด้วยเกาหลีแล้วก็สหราชอาณาจักร แต่มีคนไทยตามแบรนด์ในโซเชี่ยลมีเดียเยอะอยู่นะ นี่เป็นเพราะโมเดลการขายส่งสินค้าแฟชั่นแบบเต่าล้านปีที่ทำให้ราคาเสื้อผ้าของเราต้องแพง 75 เปอร์เซ็นของธุรกิจเราคือการขายส่ง ซึ่งนั้นบ้ามาก ระบบขายส่งไม่เคยปรับตัวให้ทันกับตลาดเสื้อผ้าออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเลย และจะยิ่งท้าทายไปกว่านี้อีกถ้าจะต้องปรับตามโควิด ตอนนี้งานเทรดโชว์ทั้งหมดเลื่อนไปเป็นอย่างน้อยคือปีหน้า ไม่มีใครอยากไปโชว์รูม อยากไปแฟชั่นโชว์ต่างประเทศ เพราะเดินทางไม่ได้ ธุรกิจจำนวนมากกำลังหาวิธีจัดการกับเกมการทำธุรกิจแบบใหม่ เมื่อมองว่าตอนนี้โมเดลการทำเสื้อผ้าเป็นซีซั่นแบบ สปริง/ซัมเมอร์ ออทัมน์/วินเทอร์ล้าสมัยไปแล้ว


Ung —
What about you Shone? What kind of person was drawn or attracted by your works?


Shone —
Because right now everything we do is by appointment and made to order. My clients are Thai. They are kind of the audience in the art world, the design world, individualistic dressers who like to have fun with their clothes. It is quite a niche market but there’s a growing number of people who like something different, special, and a little bit exclusive. When we started, it’s with friends, people we know and it’s solely through word of mouth. Then we also have Thai fashion university students who come by to see the space and talk to us. Although they might not buy it, it’s nice to see that it has an influence on young people. We rely a lot on physical meetings with the clients, to do fitting and to organize an event to show our clothes. But because of the Covid, in the beginning we were quite stressed out about what we were going to do. Now we have to build up more of the online market tools to expand audiences a bit but still without losing that personal touch to be honest. So for the new collection launch we are going to invite people for a private viewing.


อุ้ง —
แล้วโชนล่ะ กลุ่มคนแบบไหนที่ถูกดึงดูดด้วยเสื้อผ้าของโชน


โชน —
เพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เราทำเป็นแบบต้องนัดเข้ามาและเป็นแบบสั่งตัดทั้งหมด ลูกค้าของเราก็เลยเป็นคนไทยเป็นหลัก เป็นกลุ่มคนจากแวดวงศิลปะ การออกแบบ และลูกค้าที่รักการแต่งตัวและสนุกกับการสวมใส่เสื้อผ้า ตลาดค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่จำนวนลูกค้าที่ชอบของที่ไม่เหมือนใคร มีความพิเศษ มีความเฉพาะ ก็เพิ่มขึ้น ตอนที่เราเริ่มทำแบรนด์ ก็ได้เพื่อน ได้คนที่เรารู้จักที่ช่วยบอกกันปากต่อปาก จากนั้นก็มีนักศึกษาด้านแฟชั่นในมหาวิทยาลัยที่เมืองไทยมีมาดูสเปซและมาคุยกับเราบ้าง แบรนด์ของเราขึ้นกับการเจอกันกับลูกค้าแบบเห็นหน้าเห็นตาค่อนข้างมาก มาลองเสื้อ และต้องจัดอีเวนท์แสดงเสื้อผ้าของเรา ทีนี้พอมีโควิด ตอนแรกๆ ก็เครียดเหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง แต่ตอนนี้ก็ทำออนไลน์มากขึ้น ขยายฐานลูกค้าออกไปเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ให้เสียความเป็นส่วนตัวกับลูกค้าของเรา คอลเลกชั่นใหม่ที่เรากำลังทำอยู่ก็เลยจะเป็นแบบเชิญคนมาดูแบบไพรเวท


Ung —
Why do you choose to do things by appointment or private viewing in your studio instead of showing it at the fair or a fashion week in a traditional sense?


Shone —
I want to break away from the past system of showing fashion. I wanted to create a space that really reflects the work and tell the story of each collection. I always decorate the space for each collection changing the artworks to go with it. It’s still like a small scale production and we don’t want to rush things. We don’t have a stock. We don’t have a huge effect directly from Covid. But we still have to figure out how to arrange the physical show to present our clothes.



pic 26 — Cloudbusting collection 2020 exhibition view © Shone Puipia


pic 27 — The Brighter World collection 2019 exhibition view © Shone Puipia


อุ้ง —
ทำไมถึงเลือกทำแบรนด์แบบต้องทำนัดเข้ามาหรือเปิดให้ชมแบบไพรเวทที่สตูดิโอ แทนที่จะเลือกไปออกงานแฟร์หรือไปแฟชั่นวีคในแบบเดิมๆ?


โชน — เราอยากฉีกออกมาจากระบบการแสดงแฟชั่นที่ผ่านมาๆ เราอยากทำสเปซที่สะท้อนให้เห็นงานของเราและเล่าเรื่องราวในแต่ละคอลเลกชั่น เราตกแต่งสเปซใหม่ตามคอลเลกชั่นทุกครั้ง เปลี่ยนงานศิลปะต่างๆ ในสเปซให้ไปด้วยกัน เสื้อผ้าของเรายังเป็นการผลิตในสเกลที่ไม่ใหญ่มาก แล้วเราไม่อยากเร่งทำงานด้วย เราไม่มีสต็อคเสื้อผ้า เราไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากจากโควิด แต่ก็ยังต้องคิดหาวิธีจัดการกับโชว์แสดงเสื้อผ้าที่กำลังจะเกิดขึ้น



รูป 26 — ภาพจากนิทรรศการ Cloudbusting collection 2020 © Shone Puipia


รูป 27 — ภาพจากนิทรรศการ The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


Ung —
As we know the past fashion system, the whole fashion calendar was already dinosaur. And with Covid, it puts the pressure even more on the fashion industry to change. I just read the other day that Dries Van Noten published an open letter together with other designers from London and New York like Erdem and Proenza Schouler. Together they talked to the retailers, the wholesale retailers and the department stores, negotiating the change of fashion calendar and season, to not show the collection in a way that doesn’t reflect the real season or the real need of customers. How do you guys react to the seasonal calendar? Do you work on the season based collection?


Lauren —
Yeah. We do follow a seasonal model and I try to wrap my head around how we can rework this mantle to build something better. Because there was so much economic fallout from Covid. The supply chain from factories all the way to retail outlets rely heavily on each other on this bigger framework of seasonal scale. What’s awful about this whole situation is that the retailers, mainly the big companies, have to close their doors. They just cancelled their orders from the factories and this sent so many factories to close down and put many people out of their jobs. The factory that I used in Vietnam that services my wholesale business is closing down in August. I think a lot of big businesses will close down and a lot of businesses in the US have gone bankrupt. But there are some businesses that just grew bigger from this. I want to be hopeful but I think this fast fashion model is not done yet. We are very lucky to have a really close relationship with all the wholesale retailers all over the world that are exceptional retailers, with unique spaces, that offer exceptional experience. All the
mediocre retailers are going to drop like flies and people’s consumption habits are going to change. When I talk about this I’m talking about the western world because I’m more in touch with a customer base on that side. I’m not quite sure about what’s going to happen about consumer behaviour in Asia to be honest. In the west I think we will continue to work with these exceptional retailers who offer a very unique experience and do even cooler stuff, more unique stuff. A lot of our makers right now in Thailand who have a lot of time on their hands from Covid, started to ask us if we can make special things with them because they have lost a lot of their customers who ordered wholesale, and they are being able to cater that now.


อุ้ง —
อย่างที่เรารู้กันว่าในระบบแฟชั่นที่ผ่านๆ มา ปฏิทินแฟชั่นทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ยิ่งมีโควิด มันยิ่งกดดันให้อุตสาหกรรมต้องปรับตัว เราเพิ่งอ่านวันก่อนว่าดรีส ฟาน โนเทน เขียนจดหมายเปิดผนึกร่วมกับดีไซเนอร์คนอื่นๆ จากลอนดอนและนิวยอร์ก อย่างเออร์เด็ม (Erdem) และโพรเอนซ่า ชูลเลอร์ (Proenza Schouler) พวกเขาเขียนถึงกลุ่มค้าปลีก กลุ่มค้าส่ง และห้างสรรพสินค้า เพื่อต่อรองให้เกิดการปรับเปลี่ยนปฏิทินและซีซั่นของแฟชั่น เรียกร้องให้เลิกแสดงคอลเลกชั่นเสื้อผ้าที่ไม่ได้สะท้อนถึงฤดูกาลและทำขึ้นบนความต้องการของลูกค้าจริงๆ โชนกับลอเรนคิดยังไงกับปฏิทินซีซั่น ทั้งสองคนทำงานเป็นคอลเลกชั่นเบสบนซีซั่นหรือเปล่า


ลอเรน —
ใช่ ของเราไปตามโมเดลซีซั่น และเราพยายามหาวิธีทำงานที่ก็ยังไปตามโมเดลนี้ แต่ทำในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างงานที่ดีขึ้นออกมา เนื่องจากมีผลกระทบทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเยอะจากโควิด ห่วงโซ่อุปทานโรงงานผลิตต่างๆ ไล่ไปจนถึงร้านค้าปลีกยังต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันในกรอบการทำงานของการทำตามซีซั่นในสเกลที่ใหญ่ขึ้น สิ่งที่แย่มากเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดตอนนี้ คือร้านค้าปลีกซึ่งส่วนมากเป็นของบริษัทใหญ่ต้องปิดหน้าร้าน พวกเขายกเลิกออร์เดอร์จากโรงงาน ซึ่งส่งผลให้โรงงานหลายโรงงานต้องปิดตัวลง และทำให้คนงานจำนวนมากต้องตกงาน โรงงานที่เราสั่งผลิตในเวียดนามสำหรับงานขายส่งกำลังจะปิดตัวลงในเดือนสิงหาคมนี้ เราคิดว่าธุรกิจใหญ่ๆ จำนวนมากจะปิดตัวลง และมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยเลยในสหรัฐฯ ตอนนี้ที่ล้มละลายไป แต่ก็ยังมีธุรกิจที่เติบโตขึ้นจากโควิดด้วยเหมือนกัน เราอยากมีความหวังนะ แต่เราคิดว่าฟาสต์แฟชั่นยังไม่ตายหรอก โชคดีที่เรายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าส่งของเราทั่วโลก พวกเขาเป็นผู้ค้าที่มีพื้นที่ค้าปลีกที่พิเศษมาก มีพื้นที่เฉพาะที่ให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ร้านค้าปลีกแบบพื้นๆ ทั่วๆ ไปสิที่เราคิดว่าจะร่วงเอา และ
วิถีที่ผู้คนบริโภคจะเปลี่ยนไปแน่นอน เวลาเราพูดแบบนี้ เราหมายถึงในโลกตะวันตกนะ เพราะเราคลุกคลีกับผู้บริโภคทางนั้นมากกว่า จริงๆ เราไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพฤติกรรมของลูกค้าในเอเชีย ถ้าเป็นในโลกตะวันตก เราคิดว่าเราคงทำงานกับผู้ค้าปลีกที่เล่าให้ฟังไปนี้ นำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและทำสิ่งที่เจ๋งกว่าเดิม ทำของที่พิเศษที่มีเอกลักษณ์ออกมา ช่างที่เราทำงานด้วยในเมืองไทยตอนนี้มีเวลาว่างมากจากโควิด ก็เริ่มถามเราแล้วว่าอยากจะงานพิเศษๆ ด้วยกันไหม เพราะเขาเสียลูกค้าขายส่งไปเยอะ จนตอนนี้มีเวลามาลองทำงานด้วยกันกับเราแล้ว


Ung —
I think in Asia the middle class market is growing a lot, so we will see fast fashion still. The fact is the pricing of fast fashion made the real price of clothing look expensive because it’s too cheap.


Lauren —
It’s about market power. That pushes to produce things in high volume. The factory I was using in Vietnam is closing down because they are a small factory. The scene in Vietnam is all about servicing the world’s biggest brand. And the small factories that are continuously being bullied by the huge brands who like to squeeze down their prices for high volume. My factory wasn’t interested in that kind of customer, but they were forced to service them because that was the main kind of customer they could reach.


อุ้ง —
เราคิดว่าตลาดชนชั้นกลางเอเชียเติบโตขึ้นมาก ดังนั้นเราจะยังคงเห็นงานฟาสต์แฟชั่นอยู่ จริงๆ ราคาเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นทำให้ราคาเสื้อผ้าจริงๆ ดูแพงไปเลยก็เพราะว่ามันตั้งราคามาถูกเกินไปนี่แหละ


ลอเรน —
มันเกี่ยวกับอำนาจของตลาดที่ผลักการผลิตสิ่งต่างๆ ให้ต้องเป็นการผลิตในจำนวนมาก โรงงานที่เราใช้ในเวียดนามกำลังจะปิดลงเพราะว่าพวกเขาเป็นโรงงานเล็กๆ คือในเวียดนาม สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือโรงงานทั้งหมดผลิตสินค้ากับแบรนด์ใหญ่ๆ ของโลก และโรงงานเล็กๆ แบบที่เราใช้นี่ก็ถูกรังแกโดยแบรนด์ใหญ่ๆ พวกนี้ บีบราคาผลิตให้ต่ำลงด้วยการสั่งผลิตทีละมากๆ จริงๆ โรงงานที่เราร่วมงานด้วย ไม่สนใจลูกค้าแบบนี้ แต่พวกเขาถูกบังคับให้ต้องผลิตให้แบรนด์พวกนี้ เพราะเป็นลูกค้าหลักแบบเดียวที่จะให้ออร์เดอร์ป้อนโรงงานได้


Ung —
 That’s crazy. I hope that we turn to creativity rather than market power. For Shone, you work with a seasonless model, right?


Shone —
Yes, we don’t work with the season. It was one main collection for each show. And like I said everything’s made to order. Customers can even look to the archive to get an old piece made again or using old fabric. I’m increasingly seeing my works as one whole wardrobe for all the collections. Each new collection builds on what we have done previously. What changes are my current interests or what I’m feeling at the moment of the design process. One maybe focused on solid colors and the next can be about clashing prints. But you will always see an identity that runs through every piece. I like this idea more than defining the collection by season to opening rooms for customization, adding more special details or special techniques. We also kept working with an in-house team.

I’m not in a rush of growing too big or too fast. I’m happy with them being able to sustain creativity and keeping uniqueness in the collection.


อุ้ง —
นี่มันบ้าไปแล้ว เราหวังว่าเราทุกคนจะหันไปหาความคิดสร้างสรรค์มากกว่าอำนาจของตลาด แล้วโชนล่ะ โชนทำงานแบบไม่ตามซีซั่นใช่มั้ย?


โชน —
ใช่ เราไม่ทำงานเป็นซีซั่น มีคอลเลกชั่นหลักคอลเลกชั่นเดียวในแต่ละโชว์ และเหมือนที่เราเล่าไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างเป็นงานสั่งตัดทั้งหมด ลูกค้าสามารถย้อนดูคอลเลกชั่นของเราเพื่อสั่งตัดงานก่อนๆ หรือใช้ผ้าจากงานก่อนๆ ก็ได้ ยิ่งทำ เรายิ่งมองงานตัวเองเป็นเหมือนตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ๆ ข้างในมีทุกคอลเลกชั่น คอลเลกชั่นใหม่ๆ ที่เติมเข้าไปจะเสริมเติมจากคอลเลกชั่นที่เราเคยทำก่อนหน้านี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปในแต่ละคอลเลกชั่น คือสิ่งที่เราสนใจตอนนั้นๆ หรือกระบวนการที่ใช้ในการออกแบบ บางคอลเลกชั่นอาจะเน้นไปที่การใช้สีสด ในขณะที่คอลเลกชั่นถัดมาอาจจะเล่นกับผ้าพิมพ์ลาย แต่คุณจะเห็นตัวตนของเราที่อยู่ในงานทุกชิ้น เราชอบคิดถึงเสื้อผ้าเราแบบนี้มากกว่านิยามมันเป็นซีซั่น เพราะมันเปิดกว่า ให้เราทำคอลเลกชั่นแบบคัสตอมได้ ใส่รายละเอียดพิเศษหรือเทคนิคพิเศษลงไป เรายังทำงานกับทีมอินเฮาส์ของเราเองด้วย คือเราไม่ได้รู้สึกว่าต้องรีบปั้นแบรนด์ให้โตหรือไปเร็วไป เรามีความสุขกับแบรนด์เราตอนนี้ ที่ยังหล่อเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ของเราไว้และยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ในทุกคอลเลกชั่น



Ung —
That’s great. Very rare mideset in this crazy world. Lauren, how do you see the context shaping and shifting the meaning of luxury? Compared to ten years ago, the meaning of luxury would be a lot different than today.


Lauren —
I think you’re right. The meaning of luxury shifts every time there’s a cultural shift because people value different things according to their contexts. I have been talking to a lot of people in different fields on my podcast The Ponytail Show 
like a climate change activist from Australia to a photographer in New York. All the things that I picked up from all of them is that people value the outdoors. They didn’t realise how much they needed it and loved it until the Covid took it away from them. So I think space, and the outdoors, and having time to do those things, is like a new luxury in both eastern and western world. In Asia for sure air quality is a luxury, so these are all to do with nature.


pic. 28 — The Ponytail Show © Lauren Yates


อุ้ง —
นั่นเยี่ยมมาก เป็นวิธีคิดที่หายากในโลกบ้าๆ ตอนนี้ กลับมาถามลอเรนว่า บริบทตอนนี้ปรับเปลี่ยนความหมายของคำว่าหรูหราไปยังไงบ้าง ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว ความหมายของความหรูหราน่าจะต่างไปจากตอนนี้มาก


ลอเรน —
เราคิดว่าอุ้งพูดถูกนะ ความหมายของความหรูหราเปลี่ยนไปทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เพราะคนให้ค่าของต่างกันไปตามบริบทของพวกเขา เราคุยกับคนทำงานในสาขาต่างๆ เยอะมากในพอดคาสต์ The Ponytail Show 
ของเรา ตั้งแต่นักรณรงค์เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจากออสเตรเลียไปจนถึงช่างภาพจากนิวยอร์ก สิ่งที่เราได้จากทุกคนที่ได้พูดคุยด้วย คือผู้คนให้ค่าแก่โลกภายนอก พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาต้องการมันและรักมันแค่ไหนเมื่อโควิดพรากมันไป ดังนั้น เราคิดว่าพื้นที่และโลกภายนอกหรือการได้ออกไปทำอะไรข้างนอกจะเป็นความหรูหราใหม่ทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ในเอเชีย อากาศดีคือความหรูหราซึ่งแน่นอนว่าเกี่ยวกับธรรมชาติ


รูป 28 — โลโก้จากรายการ The Ponytail Show © Lauren Yates


Lauren —
I think luxury is going to have to find a new meaning and I think luxury is going to be focused on nature, and it has to be socially conscious. We see that now people finally have time to figure out their own bad habits
and see what’s going on in the world. They are starting to see, for example, racism is a problem, equality of opportunity is important. Therefore I think unique, niche business is going to be a new luxury and people are going to push a lot more pressure on brands to be authentic. And when I say authentic I don’t mean let’s post ‘Black Lives Matter’ in a square because we tick that box. Now we don’t call our customer ‘consumers’ anymore, we call them ‘followers’.  That’s the big shift. Our followers put us all under a microscope and they are asking really necessary questions. So, the new luxury is niche, it is beautiful, and it has integrity.


Shone —
Yeah I totally agree. People are going to be more careful on what they are spending now. They’re going to value these traits much more such as craftsmanship, transparency, not getting a lot of things but getting quality things.


ลอเรน —
เราคิดว่าความหรูหรากำลังต้องหานิยามใหม่ และเราคิดว่านิยามใหม่นี้จะเกี่ยวกับ
ธรรมชาติและสำนึกทางสังคม เราเห็นแล้วว่าตอนนี้คนมีเวลาคิดถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเองและเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลก พวกเขาเริ่มเห็นเองแล้วว่าอะไรคือปัญหา ยกตัวอย่าง พวกเขาเห็นแล้วว่าการเหยียดเชื้อชาติเป็นปัญหา เห็นว่าความเท่าเทียมและโอกาสคือสิ่งสำคัญ ดังนั้นเราคิดว่าธุรกิจที่นิชมากๆ จะเป็นความหรูหราใหม่ และคนจะยิ่งกดดันให้แบรนด์เก่าๆ ต้องแสดงความจริงใจออกมามากขึ้น เวลาเราพูดถึงคำนี้ เราไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนต้องโพสต์เรื่อง Black Lives Matter ในพื้นที่อินสตาแกรมเพราะนั่นคือสิ่งที่ต้องทำนะ ตอนนี้เราไม่ได้เรียกลูกค้าของเราว่าผู้บริโภคแล้ว พวกเขาคือผู้ติดตาม ซึ่งนั่นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้ติดตามของเราใช้แว่นขยายมองเราทุกอณูและถามคำถามที่จำเป็นมากๆ กลับมาหาเราด้วย ดังนั้น นิชคือความหรูหราใหม่ คือความงามที่ซื่อตรงจริงใจ


โชน —
ใช่ เราเห็นด้วยกับลอเรน คนระมัดระวังมากขึ้นว่าจะใช้จ่ายไปกับอะไร เขาจะให้ค่ากับเรื่องพวกนี้มากๆ อย่าง งานฝีมือ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ คือไม่ได้ต้องมีเยอะแต่ต้องมีคุณภาพ


Ung —
We talked a lot about socially conscious and consumer trends. How do you guys think about using fashion as a platform to address these social causes like gender diversity or Black Lives Matter to help put pressure on social transformation? The urgency of shift that we need in order to move into the new world. The 21th century where the dinosaurs are already not working but the power is still there. In fashion the power may not be intentional but it always reflects the
zeitgeist of the society. It’s political in a way that people dress and express. How do you see creative and fashion designers could address this shift?


Lauren —
This is a really controversial and complex question because it has really serious implications. As an artist I moved toward making works that make you ‘feel’ something, rather than being political, because I felt that art became way too political in the postmodern era. That’s the problem I had with my art school. To me what the postmodern university does to students is it burns everything down without constructively building something with them. The purpose of university is to break down what you think you know and challenge the worst part of yourself to build something constructively and rebuild yourself. I think what we need to do as a socially conscious brand, if you want to call yourself one, is take responsibility. I think those responsible in every single brand need to hold the hand of their followers to question the worst part of themselves. I don’t think a lot of brands are equipped to do that because they are not asking the right questions. It’s a very dangerous political area to go into and I think if we think that’s the responsibility of a brand, that it should teach culture, then we’ve got it wrong. Art and culture is more a reflection of what is happening and how people are questioning. I think it’s wrong to demand brands to voice a specific political agenda just because they are a brand. So there’s a big difference there. It often gets very confusing, because nowadays we are bombarded with so much information, people don’t often properly read things or watch full videos. The content presents us with short sound bites, the meaning gets lost and it’s very confusing for people. As a brand I think you need to be authentic about your voice, and you voice things that you feel very strongly about. That’s your agenda. But you need to do your research. You need to look into both sides of the story, you need to have a debate and open to conversation. I think there is a lot of rage in the world right now, and what we really need is a constructive conversation on both sides of the scale to move forward. It’s a very complicated issue.


อุ้ง —
เราคุยกันเยอะมากเรื่องจิตสำนึกทางสังคมและเทรนด์ผู้บริโภค โชนและลอเรนเคยคิดจะใช้แฟชั่นเป็นแพลตฟอร์มเพื่อพูดถึงประเด็นทางสังคมอย่างความหลากหลายทางเพศ หรือ Black Lives Matter เพื่อกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมบ้างมั้ย เราต้องการการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อไปต่อในโลกใหม่ พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีไม่ทำงานแล้วในศตวรรษที่ 21 นี้ แต่อำนาจของพวกเขายังอยู่ ในโลกแฟชั่น อำนาจที่ครอบงำอยู่นี้อาจจะไม่ได้เป็นไปแบบตั้งใจ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นความคิดร่วมสมัยของสังคมตอนนี้ การแต่งกายและการแสดงออกก็มีความเป็นการเมืองอยู่ในตัว ทั้งสองคนเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์และดีไซเนอร์แฟชั่นจะเปิดประเด็นความเปลี่ยนแปลงนี้ยังไงได้บ้าง


ลอเรน —
คำถามนี้ค่อนข้างเปิดให้ถกเถียงและซับซ้อนมาก เพราะเกี่ยวพันกับหลายๆ เรื่อง ในฐานะศิลปิน เราอินกับการทำงานที่ทำให้คุณรู้สึกอะไรบางอย่างมากกว่าแค่ทำเป็นเรื่องเชิงการเมือง เพราะเรารู้สึกว่าศิลปะในโลกยุคหลังสมัยใหม่เป็นเรื่องการเมืองมากเกินไป นั่นเป็นปัญหาที่เรามีตอนเรียนโรงเรียนศิลปะ สำหรับเราเอง สิ่งที่มหาวิทยาลัยยุคหลังสมัยใหม่ทำกับนักเรียน ก็คือการเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างลงโดยไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่แบบสร้างสรรค์จากการทำลายนั้น จริงๆ จุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยคือการทำลายทุกอย่างที่คุณคิดว่าคุณรู้ และท้าทายส่วนแย่ที่สุดของคุณออกมาเพื่อสร้างเป็นสิ่งใหม่อย่างสร้างสรรค์ สร้างตัวตนของคุณขึ้นมาใหม่ เราคิดว่าสิ่งที่เราต้องทำในฐานะแบรนด์ที่มีสำนึกทางสังคม ถ้าคุณอยากเรียกตัวเองอย่างนั้นและมีความรับผิดชอบในการทำสิ่งนั้น เราคิดว่าความรับผิดชอบในแบรนด์ทุกแบรนด์คือการจับมือกับผู้ติดตามของพวกเขาในการตั้งคำถามว่า สิ่งที่แย่สุดของแบรนด์คืออะไร เราไม่คิดว่ามีแบรนด์จำนวนมากเท่าไหร่ที่พร้อมจะทำสิ่งนี้ เพราะว่าพวกเขากำลังถามคำถามที่ไม่ถูกต้อง การเมืองเป็นพื้นที่อันตรายถ้าจะเข้าไป และเราคิดว่า ถ้าสมมุติเราคิดว่าความรับผิดชอบของแบรนด์คือแบรนด์ต้องให้ความรู้ในเชิงวัฒนธรรมด้วย ถ้างั้นนั่นก็ผิดแล้ว ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และวิธีที่ผู้คนตั้งคำถามกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่เรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ มีเสียงหรือมีวาระทางการเมืองบางอย่างอย่างเฉพาะเจาะจง เพียงเพราะว่าเป็นแบรนด์ มีข้อแตกต่างที่ใหญ่มากอยู่ตรงนี้ หลายครั้งที่มันดูสับสน เพราะตอนนี้เราถูกถาโถมด้วยข้อมูลมากมาย คนไม่ค่อยอ่านอะไรละเอียดถี่ถ้วน หรือดูคลิปวิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบ เนื้อหานำเสนอผ่านเสียงสั้นๆ ความหมายหายไปและนั่นทำให้คนสับสน ในฐานะแบรนด์ เราคิดว่าคุณต้องจริงใจกับเสียงของแบรนด์ของคุณ และพูดถึงสิ่งที่คุณรู้สึกกับมันจริงๆ นั่นต่างหากคือวาระของคุณ แต่คุณต้องศึกษาด้วยนะ ต้องฟังความจากทั้งสองด้าน ต้องมีการถกเถียงและเปิดกว้างพร้อมพูดคุย เราคิดว่ามีความโกรธแค้นมากมายในโลกตอนนี้ และเราต้องการการพูดคุยแบบสร้างสรรค์ทั้งสองฝั่งของตาชั่งเพื่อไปต่อ นี่เป็นประเด็นที่ซับซ้อนมาก


Ung —
One example I saw from a British Vogue the July issue they put frontline workers on the front page of their magazines. They put London overground riders on the front cover instead of a model, HS worker and Waitrose cashier workers. It’s the first time for Vogue magazine to celebrate the frontline people who are not necessary from a highly regarded fashion industry. That’s one way the fashion industry starts to show the diversity, new value in their own term. I think this action is already radical in itself when Vogue Italia put the white cover like the blank page cover in the front. I think it sparks the questions for readers or consumers to be more in tune with culture and the shifting and social change.


pic. 29 — Frontline workers on the front page of July British Vogue 2020. (A Day in The Life Of 3 Key Workers)


Shone —
This week we were talking a lot about this with my colleague how we would communicate about this social issue. I feel that social media puts pressure a lot on us to say something about it. Through our work we are not actively being political but it’s through our belief in the beauty of the art and the idea of fluidity, being a minority person ourselves. It’s already saying something about it. That’s how we saw our place within this issue.


อุ้ง —
ตัวอย่างหนึ่งที่เราได้เห็นจากโว้กอังกฤษเล่มเดือนกรกฎา คือเขาเอาแรงงานแนวหน้ามาขึ้นปกแมกกาซีน เอาคนขับรถไฟรางบนดินลอนดอน ผู้ผดุงครรภ์ในโรงพยาบาล และแคชเชียร์ของเวทโรสมาขึ้นปกแทนนางแบบ เป็นครั้งแรกที่โว้กแมกกาซีนสดุดีแรงงานในแนวหน้าที่ไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มักได้รับความเคารพ นี่คือวิธีหนึ่งที่อุตสาหกรรมแฟชั่นเริ่มจะแสดงความหลากหลาย แสดงคุณค่าแบบใหม่ในเงื่อนไขของเขา เราคิดว่าการกระทำนี้ค่อนข้างสุดโต่งในตัวของมันเองเมื่อโว้กอิตาลีทำหน้าปกเป็นปกขาวเปล่าๆ เราคิดว่ามันจุดประกายคำถามกลับไปยังคนอ่านหรือผู้บริโภคให้ไปกับทำนองของวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม


รูป 29 — แรงงานแนวหน้าบนปกนิตยสารโว้กอังกฤษ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 (A Day in The Life Of 3 Key Workers)


โชน —
อาทิตย์นี้เราคุยเรื่องนี้เยอะมากกับที่ทำงาน ว่าเราจะสื่อสารประเด็นทางสังคมเหล่านี้ออกมาอย่างไรได้บ้าง เราคิดว่าโซเชี่ยลมีเดียกดดันเรามาก ให้ออกมาพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ งานของเราอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองเท่าไหร่ แต่ถ้าผ่านความเชื่อในความงามของศิลปะและแนวคิดเรื่องความเลื่อนไหล และการเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมของตัวเราเอง มันก็พูดอะไรบางอย่างอยู่แล้ว นี่คือวิธีที่เรามองที่ทางของเราในประเด็นนี้


Ung —
It’s like already in your principle of work.


Lauren —
One thing that my husband actually pointed out which is really interesting. It’s, ‘who is your audience?’ My husband makes music and he has a record label that represents black musicians. His audience is mostly black, while my audience would be mostly white… next would be asian and then minority groups follow. He said that he doesn’t need to repost about protests because his audience is black and it’s already triggering for them. They don’t need someone retelling something that is so painful to them. They don’t need to be educated about what they are living everyday. But my audience is a white audience, and as a socially conscious brand I have a responsibility to share a different perspective with my white audience who might not have known what being followed around in the store would feel like because people think you are always going to steal something. I was aware of the difference since I was a young kid, and that my skin when people kept thinking my mom was my nanny. White people have no idea what that feels like and how painful that can be for a mother. I think it’s really important to know your audience as well.


อุ้ง —
เหมือนมันอยู่ในหลักการของงานโชนอยู่แล้ว


ลอเรน —
เรื่องหนึ่งที่สามีของเราชี้ให้เห็นซึ่งน่าสนใจมากๆ คือ ใครคือผู้ชมของคุณ สามีเราทำดนตรี ทำดนตรีคนดำ ทำค่ายเพลง มีนักดนตรีคนดำในสังกัด ผู้ชมของเขาส่วนใหญ่จะเป็นคนดำในขณะที่ผู้ชมของแบรนด์เราเป็นคนขาว ตามมาด้วยคนเอเชีย แล้วถึงค่อยเป็นกลุ่มอื่นๆ ตามมา สามีเราบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องมารีโพสต์เรื่องราวที่จะกระตุ้นให้รู้สึกต่างๆ นาๆ เพราะผู้ชมของเขาเป็นคนดำอยู่แล้ว และพวกเขารู้สึกกับเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นพวกนี้อยู่แล้วแน่นอน พวกเขาไม่ต้องการให้ใครมาเล่าเรื่องที่มันเจ็บปวดพวกนี้ซ้ำอีกแล้ว พวกเขาไม่ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน แต่ผู้ชมของเราเป็นคนขาว และในฐานะแบรนด์ที่มีสำนึกทางสังคม เรามีความรับผิดชอบที่ต้องแชร์มุมมมองที่ต่างออกไปกับผู้ชมคนขาวของเรา ที่อาจไม่รู้เลยว่ามันรู้สึกยังไงเวลาถูกเดินตามทั่วร้านเพราะคนคิดว่าคุณกำลังจะขโมยของ หรือ สมัยเราเด็กๆ ที่เรารู้สึกว่าสีผิวเราต่างไป และคนชอบคิดว่าแม่เราเป็นพี่เลี้ยงเรา คนขาวไม่มีทางเข้าใจว่านั่นรู้สึกยังไงและมันเจ็บปวดยังไง เราคิดว่าการรู้จักกลุ่มผู้ชมของตัวเองนั้นสำคัญมากเหมือนกัน


Ung —
I’m a textile designer and I’m quite interested in the way textiles are related to fashion and culture. Lauren uses handwoven fabric from Roi Et or sometimes a vintage fabric and Shone also experiments a lot with creating new fabric, special techniques for your collection. As a fashion designer how do you see textiles or materials as an essence in your work? To what degree is it important in your collection?


Shone —
I work both ways from designing the whole outfit first and finding the suitable materials later. Then I also get inspiration from the other way around from handling materials, treating them with special techniques which then influenced the design of the piece. For me it’s an interesting area to work on developing fabric. It’s difficult now to do something really new in fashion and that’s the aspect that could give a new twist from what things we’ve seen before promoting local techniques or local materials.


อุ้ง —
เราเป็นดีไซเนอร์ออกแบบสิ่งทอ และเราค่อนข้างสนใจวิธีที่สิ่งทอเชื่อมโยงเข้ากับแฟชั่นและวัฒนธรรม ลอเรนใช้ผ้าทอมือจากร้อยเอ็ด และบางทีก็ใช้ผ้าวินเทจ โชนทดลองทำผ้าขึ้นเอง ใช้เทคนิคต่างๆ ในการทำเสื้อผ้าแต่ละคอลเลกชั่น ในฐานะดีไซเนอร์แฟชั่น ทั้งสองคนเห็นสิ่งทอหรือวัสดุเป็นแก่นในการทำงานไหม มันสำคัญมากแค่ไหนในการทำงานในแต่ละคอลเลกชั่น


โชน —
เราทำทั้งสองแบบ ทั้งแบบที่เริ่มจากออกแบบชุดทั้งหมดก่อนแล้วค่อยกลับมาหาวัสดุที่เหมาะสมทีหลัง และมีที่เราได้แรงบันดาลใจจากการสัมผัสวัสดุ ได้หยิบจับมาลองสร้างเป็นเสื้อผ้าด้วยเทคนิคต่างๆ ที่กำหนดหน้าตาของชุดว่าจะออกมาแบบไหน สำหรับเรา การออกแบบพัฒนาผ้าเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมาก ตอนนี้ยากมากที่จะทำอะไรใหม่ๆ ในโลกแฟชั่น และนั่นอาจจะเป็นแง่มุมที่ให้ลูกเล่นใหม่ๆ จากสิ่งที่เราเคยเห็นกันมาแล้วได้ นอกเหนือจากการโปรโมทเทคนิคท้องถิ่นหรือวัสดุในท้องถิ่น 


Shone —
Since 2015 when I was completing my Masters at the Royal Academy of Fine Arts Antwerp, I have been working a lot with Jim Thompson The Thai Silk Company to develop new textiles for my own collections and most recently as a capsule collection for Jim Thompson as well. For my masters collection, we developed hand-woven warp-printed silks depicting a surreal floral collage. It was very special to be able to include and showcase an aspect of Thai craftsmanship within a European context. 

Playing with materials, prints, and hand-crafted techniques have always been an important part in my work. In The Brighter World, there were pieces made from a double-face cotton silk satin that I hand-painted with bleach in a floral pattern. Digital prints were created from original paper collages. Recently, we’ve been developing fringe dresses that are made by hand-knotting Thai silk and rayon threads on a macramé net base.


pic. 30 — A double-face cotton silk satin, hand-painted with bleach in a floral pattern from The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


pic. 31 — A print from collage technique from The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


Lauren:
I couldn’t agree more with Shone. Fabric to a fashion designer is like a paint to a painter. You can’t make a beautiful garment unless the fabric is beautiful. Fabric is everything. The way I work is when we have done the conceptual research and we see the moodboard, and the technology, and the colors together, we look for authentic fabrics that are correct for that time period …and sometimes we use modern technology when we think it’s appropriate. We did a collection about the women who paved the way to space. That was fun because I was able to play with some new Italian developments from a supplier called Majocchi who, I think, are doing the most interesting things with technical fabric right now. They make interesting resin coated and heat responsive fabrics that change color with your body heat, or fabrics that have been developed for industry… like industrial use for explorations and research like for scientists. I think it’s interesting to look at what’s new and what’s old and what informs us about where we are now. We also work with a lot of small heritage mills in Japan and a couple of heritage mills in Scotland because they often make the kind of fabric that is authentic for the time period where we were looking into. Like authentic denim. A lot of denim mills in Japan are actually using old machinery that was shipped from the US after World War II. We make knitwear fabrics from small old Japanese mills who used really old machines as well. What I like about these machines is that they can use slubby yarns, and that makes the fabric interesting. Industrial machines can’t knit with these slubby yarns because they are built for mass production. There’s one knitting factory in Bangkok that I’m working with to try and make pure cotton, weird, slubby knitwear jerseys and stuff. They wonder why we don’t use polyester, but they do make it for us. They are a family owned business in the Thonburi area. This is a local business that is willing to try out these ideas, which is cool. I do travel a lot. It’s something that I have to reevaluate. I think to move forward I need to keep as much of it in Thailand.


pic. 32 — W’menswear Autumn/Winter 2020 collection research board © Lauren Yates


pic. 33 — Behind the scene at a factory © Lauren Yates


pic. 34 — Behind the scene at a factory © Lauren Yates


pic. 35 — Behind the scene of an outdoor shooting © Lauren Yates


โชน —
ตั้งแต่ปี 2558 ตอนกำลังทำโปรเจกต์จบปริญญาโทที่อันท์เวิร์ปอะคาเดมี่ เราทำงานเยอะมากกับที่จิม ทอมป์สัน พัฒนาผ้าใหม่ๆ สำหรับคอลเลกชั่นงานของเรา และล่าสุดมีทำคอลเลกชั่นฉพาะกิจให้กับที่จิม ทอมป์สันด้วย ตอนที่ทำคอลเลกชั่นงานปริญญาโท เราร่วมกันพัฒนาผ้าไหมทอมือเส้นยืนพิมพ์ลายเป็นลายคอลลาจดอกไม้ใบหญ้าแบบเซอร์รีล ตอนนั้นโชคดีมากที่มีโอกาสได้แสดงงานช่างฝีมือไทยในบริบทที่ยุโรป การเล่นกับวัสดุ การพิมพ์ และเทคนิคทำมือต่างๆ เป็นส่วนสำคัญมากงานของเรามาตลอด ในคอลเลกชั่น “The Brighter World” มีชุดที่ทำจากผ้าซาตินไหมผสมฝ้ายทอสองหน้า ที่เราเขียนลายกัดสีด้วยมือเป็นลายดอก มีทำลายผ้าพิมพ์ดิจิทัลจากงานคอลลาจบนกระดาษ ตอนนี้กำลังทดลองทำชุดเดรสระบายจากผ้าไหมไทยถักมือและด้ายเรยองบนโครงชุดเชือกถักเมคราเม่ (macramé)


รูป 30 — ผ้าซาตินไหมผสมฝ้ายทอสองหน้า เขียนลายกัดสีด้วยมือเป็นลายดอก จาก The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


รูป 31 — ลายพิมพ์ผ้าจากเทคนิคคอลลาจ จาก The Brighter World collection 2019 © Shone Puipia


ลอเรน —
เราเห็นด้วยกับที่โชนพูดเลย ผ้าสำหรับดีไซเนอร์เสื้อผ้าก็เหมือนสีสำหรับจิตรกร คุณทำเสื้อผ้าสวยๆ ขึ้นมาไม่ได้ถ้าผ้ามันไม่สวยจริงๆ ผ้าคือหัวใจของทุกอย่าง วิธีที่เราทำงานคือหลังจากจบช่วงทำการศึกษาข้อมูลแนวคิดแล้ว มีมู้ดบอร์ดที่มีเทคโนโลยีการตัดเย็บและสีเรียบร้อย เราจะเริ่มขั้นตอนการหาผ้าที่ถูกต้องสำหรับช่วงเวลานั้นๆ บางทีเราต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในส่วนที่เราคิดว่าต้องใช้ เราเคยทำคอลเลกชั่นผู้หญิงที่ช่วยกรุยทางสู่อวกาศ และคอลเลกชั่นนั้นสนุกมาก เพราะเราได้ทดลองกับผ้าอิตาเลียนชนิดใหม่จากซัพพลายเออร์ชื่อมาร์ยอกคิ (Majocchi) ซึ่งเราคิดว่าตอนนี้มีเทคนิคการทอที่น่าสนใจที่สุด มีทั้งใช้เรซินเคลือบพื้นผิวผ้า และผ้าที่ตอบสนองกับความร้อนโดยจะเปลี่ยนสีไปตามอุณหภูมิร่างกาย หรือผ้าที่พัฒนาขึ้นสำหรับอุตสาหกรรม เช่น ในการสำรวจ หรือการทำวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ เราคิดว่ามันน่าสนใจเวลามองว่ามีอะไรใหม่ อะไรที่มีอยู่แล้ว และอะไรที่บอกถึงจุดที่เราอยู่ในตอนนี้ได้บ้าง เรายังทำงานกับโรงทอเล็กๆ แบบดั้งเดิมในญี่ปุ่นและในสก็อตแลนด์ พวกเขายังคงทอผ้าของยุคสมัยที่เรากำลังตามหาอยู่ เช่น ยังทอผ้าเดนิมแบบดั้งเดิม เครื่องทอผ้าเดนิมในญี่ปุ่นส่วนมากเป็นเครื่องเก่าที่นำเข้ามาจากอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราเคยทำผ้าถักจากโรงทอเก่าแก่เล็กๆ แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่มีเครื่องทอเก่าเหมือนกัน สิ่งที่เราชอบในเครื่องทอพวกนี้คือมันทอผ้าจากเส้นใยเนื้อหยาบได้ ทำให้ผ้าที่เสร็จออกมามีความน่าสนใจ เครื่องทอในระบบอุตสาหกรรมทอผ้าด้ายหยาบแบบนี้ไม่ได้ เพราะถูกสร้างมาเพื่อการทอแบบจำนวนมาก ตอนนี้มีโรงทอผ้าในกรุงเทพฯ อยู่ที่หนึ่งที่เรากำลังทำงานด้วย กำลังทดลองทำเสื้อถักผ้าฝ้ายล้วนและงานผ้าฝ้ายต่างๆ พวกเขางงมากว่าทำไมเราไม่ใช้ด้ายโพลีเอสเตอร์ แต่ก็ลองทอให้เรา โรงทอนี้เป็นธุรกิจในครอบครัวอยู่ฝั่งธนบุรี นี่เป็นธุรกิจท้องถิ่นที่เต็มใจจะทดลองไปกับเราซึ่งถือว่าเยี่ยมมากๆ ก่อนหน้านี้เราเดินทางเยอะมาก และเราต้องกลับมาประเมินใหม่เหมือนกันเพื่อลดการเดินทางตรงนี้ลง ถ้าจะไปต่อ เราต้องผลิตในเมืองไทยให้เยอะกว่านี้


รูป 32 — รีเสิร์ชบอร์ดของ Autumn/Winter 2020 collection © Lauren Yates


รูป 33 — เบื้องหลังการเยี่ยมชมโรงงาน © Lauren Yates


รูป 34 — เบื้องหลังการเยี่ยมชมโรงงาน © Lauren Yates


รูป 35 — เบื้องหลังการถ่ายภาพ© Lauren Yates


Ung —
Ultimately how do you guys see the creation of your clothes? What is your ultimate goal that you want to see your clothes become in terms of both the functionality or a cultural wise? What are your hopes and dreams in terms of business?


Lauren —
I hope that there will be a lot more small businesses, or people inspired to start their own small businesses that have integrity. I am really interested in the idea that small businesses are the most important countervailing force of the economy. Back in the 60s or 70s small businesses balanced out corporations, but right now corporations are way too big and powerful. Small businesses are swimming upstream. I hope to inspire more people to start small businesses and also to inspire people to start to support small businesses. It’s better that we can make more balance to the economy. Basically, the economy is not all about money, it’s about people. Without people you have no economy. The market will be much more rich and diverse. It would be much more sustainable because you have a lot more small scale businesses, and they are much more in touch with the community than a corporation can be. I think when things get too big they just grow out of control.


อุ้ง —
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองคนมองการสร้างสรรค์เสื้อผ้าของตัวเองยังไง เป้าหมายสุดท้ายที่อยากเห็นเสื้อผ้าของตัวเองไปให้ถึงเป็นยังไง ทั้งในแง่ของประโยชน์ใช้สอยหรือในเชิงวัฒนธรรม ความหวังหรือความฝันในแง่ธุรกิจของคุณคืออะไร


ลอเรน —
เราหวังว่าจะเกิดธุรกิจขนาดเล็กเพิ่มขึ้น หรือมีแรงบันดาลใจที่จะทำธุรกิจขนาดเล็กที่มีความซื่อสัตย์และจริงใจ เราสนใจในแนวคิดว่าธุรกิจขนาดเล็กนั้นสำคัญที่สุด เป็นแรงผลักสำคัญในเศรษฐกิจ ย้อนกลับไปในยุค 60 หรือ 70 จำนวนธุรกิจขนาดเล็กยังสัมพันธ์กับจำนวนบรรษัทขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้บรรษัทมีขนาดใหญ่เกินไปและมีอำนาจเกินไปมาก ธุรกิจขนาดเล็กเหมือนกำลังต้องว่ายทวนกระแส เราหวังจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนสร้างธุรกิจขนาดเล็กของตัวเองและให้หันมาสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ดีกว่าที่เราทุกคนสามารถสร้างสมดุลในเศรษฐกิจได้ โดยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจไม่ได้เกี่ยวกับเงิน แต่มันเกี่ยวกับผู้คน หากไม่มีผู้คน คุณก็ไม่มีเศรษฐกิจ ตลาดจะร่ำรวยกว่านี้และหลากหลายกว่านี้ได้ และยั่งยืนมากกว่าด้วย เพราะคุณมีธุรกิจขนาดเล็กและพวกเขาใกล้ชิดกับชุมชนมากกว่าที่บรรษัทขนาดใหญ่จะทำได้ เราคิดว่าเวลาสิ่งต่างๆ เติบโตมากเกินไปมันก็จะเริ่มคุมไม่อยู่


Shone —
I want to inspire people to make more pure beauty or untainted, that’s a core value. I hope we all lead the way. Clothes are very personal, it’s something when you see it and you get excited. I’m hopeful about the future.


Ung —
These values that are very important are being less prioritised nowadays. It’s our time to diminish fast fashion and inspire people to support more small businesses and enjoy more beauty. Ultimately we all aim for freedom. That’s embedding in both of your work. It’s a relief for me as well. I always crave for this kind of creativity but I find it’s hard to balance this out in the context right now where there is a lot of pressure and power is dominating.


โชน — เราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำงานที่สวยบริสุทธิ์หรือไม่แปดเปื้อน เป็นหัวใจหลักของงาน เราหวังว่าพวกเราทุกคนจะไปทางนั้น เสื้อผ้าเป็นเรื่องส่วนตัวมาก เป็นของที่คุณตื่นเต้นเวลาคุณเห็น และเราก็ค่อนข้างมีความหวังกับอนาคต


อุ้ง — 
คุณค่าสำคัญๆ เหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดลำดับไว้เป็นต้นๆ เลย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องลดการบริโภคฟาสต์แฟชั่นลงและสร้างแรงบันดาลใจให้คนหันมาสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและสนุกไปกับความงามมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนมุ่งหวังในอิสรภาพ และแนวคิดนี้ฝังลงในงานของทั้งสองคน ซึ่งทำให้เราค่อนข้างโล่งใจที่ได้เห็น เพราะเราหาความคิดสร้างสรรค์แบบนี้มาโดยตลอด แต่พบว่ายากมากเลยที่จะสมดุลย์มันออกมาให้ดีในบริบทปัจจุบัน ที่มีแรงกดดันมากมายและมีอำนาจกำลังครอบงำอยู่ตอนนี้


Image credits


pic. 1, 2, 5, 6, 7, 8, 17, 18, 19, 26, 27, 30, 31 — Image courtesy of Shone Puipia
pic. 7, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 20, 21, 22, 28, 32, 33, 34, 35 — Image courtesy of Lauren Yates
pic. 23, 24, 25 — Image coutersy of Fashion Revolution Thailand
pic. 3 — Artemisia Gentileschi “public domain in the US”
pic. 4 — Portia Wounding Her Thigh “public domain in the US”
pic. 8 — Sylvia Earle “public domain in the US”
pic. 9 — Sylvia Earle “public domain in the US”
pic. 29 — British Vogue Frontline Workers 


เครดิตภาพ


รูป 1, 2, 5, 6, 7, 8, 17, 18, 19, 26, 27, 30, 31 — ภาพโดยความอนุเคราะห์จากโชน ปุยเปีย
รูป 7, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 20, 21, 22, 28, 32, 33, 34, 35 — ภาพโดยความอนุเคราะห์จากลอเรน เยทส์
รูป 23, 24, 25 — ภาพโดยความอนุเคราะห์จาก Fashion Revolution Thailand
รูป 3 — Artemisia Gentileschi “public domain in the US”
รูป 4 — Portia Wounding Her Thigh “public domain in the US”
รูป 8 — Sylvia Earle “public domain in the US”
รูป 9 — Sylvia Earle “public domain in the US”
รูป 29 — British Vogue Frontline Workers 

[BOOKMARK MAGAZINE] ISSUE 02 • SOMETHING NEWS: DELIBERATING NEWS CREATION TODAY AND ALTERNATIVE APPROACHES TO JOURNALISM


ปวีร์ (ปั๋ม) — อยากจะให้ช่วยแนะนำตัวเองว่าเป็นใครแล้วทำอะไรบ้างครับ?


นวลขนิษฐ์ (เบล) — ชื่อเบลนะคะ นวลขนิษฐ์ พรหมจรรยา เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ลักษณะงานจะพูดถึงประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมในแง่มุมที่เราสนใจ โดยเอาเรื่องราวมาเล่าในรูปแบบอินโฟกราฟฟิก หรืออินสตอลเลชั่น บางทีก็ทำสารคดี หรือส่วนที่เชื่อมต่อกับการทำข่าว อย่างปี 2560 เราทำแพลตฟอร์มชื่อ
ACED กับเพื่อนคนดัตช์ นอร์ตเจอร์ ฟาน เอคเลน (Noortje Van Eekelen) ที่พาดีไซเนอร์กับนักข่าวมาทำงานร่วมกัน เพื่อดูว่าการทำงานระหว่างสองสายอาชีพจะเป็นยังไง ทำเต็มเวลาอยู่ประมาณสองปี ตอนนี้ก็ถอยออกมาเป็นคอลลาบอเรเตอร์ ปัจจุบันทำแพลตฟอร์มของตัวเองชื่อ Non Native Native (NNN) เป็นหลัก ซึ่งเอางานที่เคยทำมารวมกัน โดยมีงานหลักคือพับบลิกโปรแกรมที่เกี่ยวกับดีไซเนอร์เอเชียในยุโรป


ปั๋ม — แบคกราวด์ของพี่เบลเป็นดีไซเนอร์ เลยสงสัยว่าทำไมถึงเลือกการทำข่าวเข้ามาใช้ในการทำงาน เพราะเป็นหัวข้อที่เราจะพูดในวันนี้ด้วย


เบล — สิ่งที่เราเห็นในสื่อ เรื่องสังคม การเมือง ประเด็นต่างๆ ข่าวเป็นเหมือนแหล่งข้อมูลให้เราเอามาทำงาน นอร์ตเจอร์ก็มีความสนใจคล้ายๆ กัน งานเราพูดเรื่องการเมืองไทย งานเขาพูดเรื่องเศรษฐกิจกับการเมืองซีกโลกตะวันตก อย่างโปรเจกต์นึงเขารวบรวมรูปเสื้อของ อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกของเยอรมนีจากสื่อต่างๆ มาทำเป็นแพนโทน จากการสังเกตว่าแมร์เคิลใส่เสื้อหลายสีมากแต่เป็นแพทเทิร์นเดียวกันตลอด เหมือนเป็นมุกเล็กๆ แล้วก็มีงานที่เขาสังเกตจากสื่อว่าภรรยาของอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส คาร์ล่า บรูนี่ (Carla Bruni) ชอบใช้กระเป๋าแพงๆ เขาก็รวบรวมภาพกระเป๋าเอามาเรียงเป็นคอลเลกชั่น ซึ่งโปรเจกต์นี้ก็ถูกเอาไปลงเป็นข่าว มันเป็นมุมมองที่อยู่ในข่าวอยู่แล้ว แต่เอามาดีไซน์ให้เห็นประเด็นอะไรบางอย่าง นอร์ตเจอร์ก็หันเหไปทำงานในสำนักข่าวอยู่ประมาณปีกว่าจนรู้สึกไม่แฮปปี้เลยออกมา เลยคุยกันว่าเราลองมาทำอะไรด้วยกันมั้ย


รูป 1 — Pantone Merkel โดย นอร์ตเจอร์ ฟาน เอคเลน © Noortje van Eekelen


รูป 2 — The Bags of Carla Bruni โดย นอร์ตเจอร์ ฟาน เอคเลน © Noortje van Eekelen

เราจบจากแซนด์เบิร์ก (Sandberg Instituut) ที่อัมสเตอร์ดัม ไปเรียนตั้งแต่ปี 2554 สาเหตุที่ไปคือเราได้เจอกับ แอนเนอลิส เดอ เวท (Annelys de Vet) ผู้อำนวยการหลักสูตรของแซนด์เบิร์ก ตอนเรียนอยู่ที่ลอนดอน ได้เห็นงานที่เขาทำ ซึ่งก็เป็นงานดีไซน์แหละ แต่พูดเรื่องการเมือง เขาทำโปรเจกต์ Subjective Atlas ซึ่ง atlas หมายถึงแผนที่ประเทศ แต่ว่าเขาทำในลักษณะที่ซัปเจคทีฟ คือเขาเข้าไปในประเทศที่มีข้อขัดแย้งเรื่องอัตลักษณ์อย่างปาเลสไตน์ หรือว่าแม้แต่ในยุโรปเอง ทำเวิร์กชอปกับคนในพื้นที่ แล้วสร้างแผนที่อัตลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ โดยไม่ได้ใช้โทนสีธงชาติ หรือสัญลักษณ์ประจำชาติ เพื่อที่จะบอกว่าทุกคนมีวิธีคิดที่ต่างกัน เรารู้สึกว่างานแนวนี้น่าประทับใจ อยากศึกษาให้มากขึ้น ก็เลยไปเรียนที่แซนด์เบิร์ก แล้วพบว่ามันค่อนข้างปกติมากในวงการดีไซน์ที่นั่น ที่ดีไซเนอร์หรือศิลปินจะทำงานเกี่ยวข้องกับประเด็นสังคม อย่างในไทยถ้าพูดว่าทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์จะมีมุมมองอีกแบบ อย่างการทำเว็บไซต์ โลโก้ ซึ่งเหล่านั้นเราก็ทำ แต่เราก็สนใจเส้นทางนี้ด้วย


รูป 3 — Netherlands by the Dutch (Nederland door Nederlanders) โดย อินเน ฟาน เดอ แอลเซน จากหนังสือ Subjective atlas of the Netherlands © Annelys de Vet http://subjectiveatlas.info


รูป 4 — Give us today our daily bread (Geef ons heden ons dagelijks brood) โดย จีนีน เอสสิก จากหนังสือ Subjective atlas of the Netherlands © Annelys de Vet http://subjectiveatlas.info


รูป 5 — News That Will Change the World เป็นเวิร์กชอปที่เบลจัดให้กับโปรแกรมที่ชื่อ Porto Design Biennale คิวเรทโดย ฟรานซิสโก ลาแรนโจ (Francisco Laranjo) จากนิตยสาร Mode of Criticisism โดยที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ค้นคว้าวิธีการเล่าเรื่องของการนำเสนอ ‘ความจริง’ ทั้งในบริบทของงานข่าวและอื่นๆ เวิร์กชอปใช้เวลาสามวันเพื่อพูดคุยกันเรื่องบทบาทของนักออกแบบ การเสพข่าว การนำเสนอข่าว เช่นคำถามที่ว่าเส้นแบ่งของซัปเจคทีฟ และออปเจคทีฟ ฟิกชั่น และนอนฟิกชั่น อยู่ตรงไหน มีการเข้าไปเก็บข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ที่ห้องสมุดประชาชนของเมืองปอร์โต้ (Porto Municipal Library) เพื่อหาประเด็นที่สนใจและทำโปรเจกต์ เช่น การเลือกประเด็นมาเล่าด้วยรูปแบบ และจุดยืนของแต่ละคน หรือ การสร้างการเล่าเรื่องในทิศทางที่เรากำหนดโดยอ้างอิงจากข้อมูลจริง © ACED

 


ปั๋ม — การที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ACED และมีโอกาสร่วมงานกับสำนักข่าวมาก่อน พี่เบลมีมุมมองต่อวงการข่าวหรือว่าสำนักข่าวยังไงบ้าง?


เบล — การทำข่าวที่เนเธอร์แลนด์ค่อนข้างจริงจัง มันเป็นประเทศที่ผู้คนจริงจัง ชอบวิเคราะห์ ชอบการถก การสนทนา สืบเสาะเบื้องลึก ข่าวประเภท
sensational news ที่มันบันเทิงอย่างข่าวชาวบ้านจะไม่ได้มีพื้นที่เท่าไหร่ คือมีแต่น้อยมากๆ อย่างเมืองไทยก็จะสุดๆ ไปเลย (หัวเราะ) ส่วนวงการดีไซน์ที่ยุโรปมีรากฐานที่ค่อนข้างแน่นอยู่แล้ว อย่างสิ่งพิมพ์กางมาแบบสวยงาม ถ้าเทียบกับสื่อไทยใหญ่ๆ ที่เราเติบโตมาด้วย หน้าข่าวมันไม่ได้กังวลเรื่องความสวยงามมาก แต่จะมีความกังวลเรื่องว่ามันดูน่าตื่นเต้นมั้ย หรือมันทำให้คนสะเทือนใจมั้ย มันเล่นกับตรงนั้นมากกว่า ที่นู่นจะละเอียดอ่อน เขาระวังเรื่องการใช้ภาพ ไม่ให้มันกระทบกับคนที่เป็นประเด็นในข่าว อีกอย่างคือการเปิดกว้าง ตอนทำ ACED เรายังใหม่ไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการข่าว แต่ก็ลองติดต่อเข้าไปหาอาร์ตไดเรกเตอร์ของสำนักข่าวใหญ่ๆ ที่นู่น แล้วเขาตอบกลับมาว่า น่าสนใจ อยากทำอะไร ก็ไปนั่งดื่มกาแฟคุยกัน เขาก็ยินดีที่จะเปิดพื้นที่ให้เราลอง มีประมาณสี่ห้าสำนักข่าวที่พยายามเข้าไปร่วมงานกับเขา ก็มีติดๆ ขัดๆ บ้าง แต่เรานับถือในความที่เขารู้สึกว่าอยากจะลองอะไรใหม่ๆ รู้สึกว่าการทำงานข่าวต้องเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะมันเป็นกันทั่วโลกที่การวางโพซิชั่นของสำนักข่าวไม่ได้แข็งแรงเท่าเมื่อก่อน ด้วยความที่มันมีสื่อทางอื่นๆ ที่รับข่าวได้มากกว่าจากหนังสือพิมพ์อย่างเดียว เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องพยายามหาวิธีในการเชื่อมโยงกับคน หรือทำให้การเป็นสำนักข่าวมีคุณค่ามากกว่าแค่บอกว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น


ปั๋ม — ผมเองเคยเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์กับสำนักข่าวแบบดั้งเดิมมาก่อน เห็นด้วยว่าตอนนี้มันเป็น เอ็กซิสเทนเชียลไครสิส (existential crisis) ของสำนักข่าว ว่าด้วยโลกที่มันเปลี่ยน มีทั้งสื่อดิจิทัล และโซเชียลมีเดีย ผมรู้สึกว่านอกจากเรื่องรูปแบบทางธุรกิจแล้ว เรื่องคุณค่าหลักของอุตสาหกรรมข่าวก็โดนตั้งคำถามด้วยเหมือนกัน ในอนาคตที่สำนักข่าวอาจจะหายไป แต่เจอร์นัลลิสซึมก็อาจจะไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่คงเปลี่ยนไปมาก คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่นี้ได้ เพราะทุกคนสามารถถ่ายภาพ สร้างคอนเทนต์ อัพโหลดบนอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา เลยรู้สึกว่าเราก็ต้องกลับมาทบทวนคำว่าเจอร์นัลลิสซึม เหมือนกันว่าคืออะไร พี่เบลว่ามองว่าเจอร์นัลลิสซึม จริงๆ มันคืออะไรกันแน่?


เบล — มันเป็นคำถามที่ทำให้เรากับนอร์ตเจอร์ทำ ACED ตั้งแต่แรก ว่าสรุปแล้วเจอร์นัลลิสซึม คืออะไรในยุคนี้ คุณค่าของมันคืออะไร ถ้าสมมติว่าคุณสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านใครสักคนที่เดินผ่านไฟไหม้แล้วถ่ายวิดีโอมา คุณรับรู้ถึงมันได้เร็วกว่าสิ่งที่อยู่ในข่าวอีก หรือการสืบสวนเบื้องลึกแนวสื่อพลเมือง (citizen journalist) ก็มีคนเปิดเพจที่รู้เรื่องหรือกล้าเจาะประเด็นมากกว่านักข่าว ซึ่งอันนี้เรายังไม่มีคำตอบนะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาร่วมกัน เราอาจจะต้องเปิดกว้างมากขึ้นมั้ย ว่าการทำงานสื่อสารมวลชน มันอาจจะไม่สามารถเป็นทิศทางแบบเก่าได้แล้ว คุณจะต้องโอบอุ้มวิธีการใหม่ๆ ด้วย ซึ่งในงานออกแบบและศิลปะก็เป็นด้านหนึ่ง

เราคิดถึงการแสดงของ จอห์น โอลิเวอร์ (John Oliver จากรายการ Last Week Tonight with John Oliver) เขาพูดถึงสังคมที่ลึกกว่าสำนักข่าวปกติ แต่พูดให้มันตลก อย่างอันนี้ก็เป็นวิธีการนึงมั้ย คุณอาจจะบอกว่ามันไม่ใช่การทำข่าว มันคือการเล่นตลก ซึ่งตอนทำ ACED เราสนใจประเด็นแบบนี้ ว่าอะไรถูกนับว่าเป็นข่าว อย่างการทำเป็น VR นับมั้ย แล้วงานอินเทอร์แอคทีฟล่ะ แล้วถ้าคุณทำสารคดีที่มันเล่าเรื่องจริงแต่ปนด้วยเรื่องแต่ง จะนับว่ามันเป็นวัตถุดิบของข่าวได้มั้ย ส่วนสำคัญจะน่าจะอยู่ที่ตัวคนเลือกเสพอะไรในพื้นที่นั้นๆ อะไรคือความจริงสำหรับเขา สำหรับเราข่าวหรือการทำข่าว พื้นฐานมันคือการรายงานโลกแห่งความจริง ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าโลกแห่งความจริงมันไม่ได้มีเวอร์ชันเดียว ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเวอร์ชันมีจุดมุ่งหมายด้านไหนเข้ามาเกี่ยวข้อง การทำงานสื่อสารมวลชนในยุคเก่าอาจจะมีจุดยืนที่ต้องทำทุกอย่างให้มีความเป็นออปเจคทีฟ ที่สุด ให้คนเชื่อว่าเป็นการมองจากมุมกลางที่ผ่านการกรองทุกอย่างมาแล้ว เราต้องตั้งคำถามว่าสิ่งนี้มันยังเป็นไปได้อยู่มั้ย การทำข่าวยังต้องยืนหยัดเพื่อสิ่งนี้มั้ย ไม่อย่างนั้นข่าวก็จะเป็นคลิกเบตไปหมดรึเปล่า


ปั๋ม — ผมรู้สึกว่าคุณค่าหลักของการทำงานสื่อสารมวลชนคือการให้ข้อมูลที่ช่วยให้คนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น เคยดูซีรีส์ชื่อ Newsroom เขาพูดว่าสิ่งที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยคือ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งควรได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน ซึ่งข่าวหรือสำนักข่าวมีหน้าที่ในการให้ข้อมูลพอที่คนจะตัดสินใจไปเลือกตั้ง ซึ่งผมรู้สึกว่าจริงๆ มันก็เกี่ยวกับทุกเรื่องในชีวิต สำนักข่าวอาจเคยเป็นเหมือนสถาบันมาก่อน แต่ว่าถึงวันนึงมันอาจจะไม่ใช่สถาบันแล้ว เจอร์นัลลิสซึมจึงเหมือนเป็นวิธีการของใครก็ตามที่สามารถส่งข้อมูลออกไปได้ คำถามคงไม่ได้อยู่ที่ว่าสำนักข่าวจะมีพัฒนาการยังไง แต่อยู่ที่คนรับสารจะเปลี่ยนแปลงเร็วพอที่จะเลือกรับข้อมูลที่ดีได้รึเปล่า


เบล — เราไม่ได้ทำงานในวงการข่าวที่ไทย เลยไม่สามารถตัดสินสิ่งต่างๆ ได้ แต่เท่าที่เห็นในโทรทัศน์ แม้จะเป็นสื่อกระแสหลักที่ควรจะต้องมีความน่าเชื่อถือสูงมากๆ แต่ทุกอย่างกลายเป็น
 เซนเซนเซชันแนล นิวส์ (sensational news) ไปหมดเลย มันอาจจะเป็นทางรอดเพราะว่าต้องแข่งกันสร้างยอดวิวเพื่อให้มีสปอนเซอร์เข้า ตรงนี้ค่อนข้างเป็นกับดักที่อันตราย แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าทางออกมันคืออะไร อาจจะต้องแบ่งสัดส่วน มีส่วนที่ทำงานเซนเซชันแนล และอีกส่วนที่ใช้เวลานานๆ แล้วทำงานแบบสืบสวนสอบสวน ข่าวที่มันจะสร้างความต่างให้กับสังคมได้


ปั๋ม — มันเป็นธรรมชาติของคนที่อยากจะเสพอะไรที่เซนเซชันแนล เราไปปรับอะไรมากไม่ได้ แต่ว่าปัญหามันจะเกิดขึ้นเมื่อมันปนกันเกินไประหว่างอินโฟเมชันแนล กับเซเซชันแนล พอพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสื่อ ผมรู้สึกว่าภาพเข้ามามีบทบาทในเรื่องข่าวมากเหมือนกัน อาจจะอยากให้พี่เบลเล่าให้ฟังหน่อยว่า กระบวนการออกแบบภาพมันเข้าไปในกระบวนการข่าวยังไงบ้าง?


เบล — มีโปรเจกต์นึงเป็นการรวบรวมหน้าหนึ่งของ
New York Times ตั้งแต่ฉบับแรกเริ่ม แล้วเอามาทำเป็นสต็อปโมชั่น ไล่มาจนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นข้อความทั้งหมด เริ่มมีรูปขาวดำขึ้นมารูปนึง รูปขาวดำสองรูป รูปสี จนปัจจุบันคือรูปกินไปเกินสี่สิบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของหน้า ซึ่งนี่คือสิ่งพิมพ์ พอเป็นดิจิทัล สิ่งแรกที่ทำให้คุณกดเข้าไปอ่านอาจไม่ใช่พาดหัวข่าว แต่เป็นเพราะรูปมากกว่า คนเสพภาพเยอะขึ้น มันเลยเป็นส่วนสำคัญในการนำเสนอข้อมูล ที่ไม่ใช่แค่ภาพประกอบแล้ว


รูป 6 — ภาพจากคลิป Every NYT front page since 1852 https://vimeo.com/204951759 © Josh Begley

ถึงแม้ว่าการทำข่าวที่เนเธอร์แลนด์จะค่อนข้างเปิดกว้าง และพยายามจะมีพัฒนาการ แต่ก็ยังมีวิธีการที่ค่อนข้างเก่า นักข่าวก็คือนักข่าว คุณมีหน้าที่ไปหาข่าวหาข้อมูลมา เสร็จแล้วก็สรุปให้บรรณาธิการที่มีหน้าที่คัดกรอง พอได้ข้อมูลมาก็ส่งต่อให้ดีไซเนอร์ หรือคนที่ทำอาร์ตไดเรกชั่นไปหารูปมาประกอบ ในที่นี้ดีไซเนอร์ หรือคนสร้างภาพ ก็อยู่ที่ปลายทางอยู่ดี เป็นแค่ภาพประกอบ ไฮโซหน่อยก็มีอินโฟกราฟิก หรูหราขึ้นมาก็มีอินเทอร์แอคทีฟ แต่ทำจากข้อมูลที่กองอยู่ตรงหน้า ซึ่งเรารู้สึกว่าทิศทางนี้มันไม่ได้ไปด้วยกัน ในเมื่อภาพก็สำคัญ คนที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบภาพ มักจะมีความไวต่อสัญลักษณ์ สี หรือว่าการเก็บข้อมูลด้วยภาพ มันน่าจะเวิร์คกว่ามั้ยถ้าให้ดีไซเนอร์กับนักข่าวทำงานร่วมกันตั้งแต่แรก ลองพัฒนาเรื่องราวโดยใช้ภาพเป็นส่วนประกอบ แล้วให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันไปมา สิ่งนี้เป็นทิศทางในยุคแรกเริ่มของ ACED ซึ่งเรานำเสนอไปกับสำนักข่าว แล้วก็ลองทำดู

ซึ่งเราก็เจอปัญหาหลายๆ อย่าง ด้วยธรรมชาติการทำงานของสองสายอาชีพมันต่างกัน วงการศิลปะและออกแบบ กว่าจะทำงานออกมาเป็นผลลัพธ์มันใช้เวลาเยอะ ในการสังเกต รวบรวม เก็บข้อมูล ตกตะกอน ส่วนการทำงานในห้องข่าว มันรวดเร็วรุนแรงมาก ถ้าดีไซเนอร์มานั่งขบคิดอะไรกันไปด้วยกันมันจะใช้เวลาเยอะกว่าที่เขาทำกันอยู่หลายเท่า เพราะฉะนั้นในสมการนี้เราอาจจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สิ่งที่อาจทำได้คือต้องเปิดมาเป็นแผนก หรือโปรเจกต์พิเศษที่ทำการสืบค้นประเด็นร่วมกัน แล้วมีงบประมาณหรือว่าระยะเวลาให้ทำงาน แต่ทำโดยไม่ได้อยู่ในระบบเดิมที่มันมีอยู่แล้ว


ปั๋ม — ผมเห็นด้วยมากๆ ว่าในกระบวนการทำข่าวปกติดีไซเนอร์อยู่ปลายน้ำมากๆ อย่างการทำอินโฟกราฟิก ในไทยคำว่าอินโฟกราฟิกมันเฟ้อมากๆ ในสี่ห้าปีที่ผ่านมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอินโฟกราฟิกจริงๆ ควรจะทำให้สื่อสารได้ดีขึ้น แต่บางอันมันไม่ได้ทำหน้าที่ของมันด้วยซ้ำ เป็นแค่การเอาข้อความมาเปลี่ยนเป็นรูปเฉยๆ ทีนี้ก็เลยสงสัยว่าจริงๆ ดีไซน์มันน่าจะทำอะไรได้มากกว่าการทำอินโฟกราฟิกให้กับข่าวให้มันดูง่ายรึเปล่า? สำหรับพี่เบล ดีไซน์เข้ามาช่วยอะไรในการทำข่าวหรือในการสื่อสารทั่วไป?


เบล — ภาพ ศิลปะ หรือการออกแบบ มีหน้าที่ในการสื่อสารที่ลึกซึ้ง ภาพเปิดให้คนตีความสิ่งต่างๆ สมมุติเราทำข่าวที่ซับซ้อนมากๆ หรือเป็นประเด็นอ่อนไหว แล้วเราไม่มีคำตอบหรือไม่สามารถหาบทสรุปให้กับสิ่งนั้นได้ แต่ว่าเราสามารถนำเสนอผ่านภาพที่ทำให้คนตีความได้ด้วยตัวเอง มันเป็นคุณสมบัติของภาพที่ช่วยในการทำข่าวได้

เรารู้สึกว่านักข่าวจะต้องคอยตัดจบ เก็บประเด็น ในขณะที่ถ้าเป็นนักออกแบบหรือศิลปินเนี่ย บางทีคุณไม่รู้หรอกว่ามันตกประเด็นรึเปล่า คุณมีหน้าที่นำเสนอสิ่งนี้ไป มันอยู่ที่คนดูที่จะเป็นคนปิดประเด็นด้วยตัวเอง อันนี้เป็นอีกหนึ่งอันที่ในการทำงานร่วมกันมันก็ต้องเคลียร์ว่าคุณจะจบเนื้อหาที่ตรงไหน ภาพอนุญาตให้ความซับซ้อน หรืออะไรที่มันอยู่สีเทาๆ สามารถโผล่ขึ้นมาได้ 

ช่วงนี้อยู่ไทย เวลาเราเปิดทีวีดูข่าวเราก็ตกใจมากกับการที่ข่าวทุกวันนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อหนึ่งประเด็น มีการสร้างภาพสามมิติให้กับข่าว อย่างเรื่องที่มีผู้ชายคนนึงไล่พ่อแม่ออกไปนอนเต็นท์หน้าบ้าน เพราะกลัวพ่อแม่ติดโควิด ก็มีการจำลองรูปบ้าน แล้วก็รูปผู้ชายที่กำลังไล่พ่อแม่ออกไป รูปพ่อกับแม่นอน เขามีทรัพยากรในการทำสิ่งเหล่านี้ได้แบบอลังการ ภาพมันช่วยได้ถ้าคุณใช้ในทางที่ถูก ถ้าใช้ในแง่ภาพประกอบเฉยๆ มันไม่ได้ช่วยให้เกิดความคิดอะไรขึ้นมา เรารู้สึกว่าคุณค่าของงานศิลปะหรืองานออกแบบคือการทำให้คนฉุกคิดอะไรแบบนี้มากกว่า


ปั๋ม — กำลังนึกอยู่ว่าจริงๆ แล้วการเอาศิลปะหรือการออกแบบเข้ามา มันจะช่วยแก้ปัญหาอะไรในวงการสื่อหรือว่าในการเสพสื่อหรือข่าวได้รึเปล่า?


เบล — ถ้าภาพถูกใช้อย่างถูกต้อง มันก็จะไม่ใช่แค่ภาพประกอบ มันคือการช่วยสืบค้นด้วยซ้ำ มีโปรเจกต์นึงเมื่อนานมาแล้ว ในยุคที่ลอนดอนมีโรคระบาด หมอคนนึงชื่อ
จอห์น สโนว์ (John Snow)(https://www.theguardian.com/news/datablog/2013/mar/15/john-snow-cholera-map) ต้องการสืบว่าคนติดโรคนี้จากอะไร เขาก็เอาแผนที่มากาง วาดจุดบนบ้านที่มีคนตาย แล้วสังเกตเห็นว่าในวงของคนที่ตายมันจะมีทางที่เดินไปตักน้ำมาจากบ่อน้ำของหมู่บ้านร่วมกันอยู่อันเดียว เขาเลยตั้งคำถามว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่บ่อน้ำนั้นมันติดเชื้ออยู่ ซึ่งพอไปเช็คแล้วก็มีเชื้ออยู่ในนั้นจริงๆ ก็เลยปิดบ่อน้ำไป รักษาชีวิตคนรอบๆ ไปได้เยอะ


รูป 7 — ภาพแสดงตำแหน่งผู้ติดเชื้ออหิวาตกโรค โดย ดร.จอห์น สโนว์ (2356-2401) 

หรืออย่าง Forensic Architecture ที่เป็นกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกลด์สมิธ (Gold Smith, University of London) ก็เป็นการรวมตัวกันของคนหลากหลายสาขา ทั้งสถาปนิก คนทำหนัง ดีไซเนอร์ ศิลปิน และนักข่าว สิ่งที่เขาทำคือ สืบสวนประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การยิงกันด้วยเหตุผลด้านการเหยียดสีผิว เชื้อชาติ หรือการที่ประเทศไปทิ้งระเบิดใส่อีกประเทศอย่างไม่ถูกต้อง เขาก็เก็บข้อมูลรูปภาพแล้วเอามาแปลงเป็นภาพสามมิติบ้าง แผนที่บ้าง แต่การแปลงของเขาค่อนข้างอ้างอิงจากข้อเท็จจริงแบบสุดๆ มันก็เป็นงานศิลปะด้วยนะ แต่ก็สามารถเอาไปใช้เป็นหลักฐานในศาลเพื่อเอาผิดกับคนผิดได้ ในแง่นึงภาพมันไม่ได้เป็นแค่ภาพประกอบแต่เป็นสิ่งที่มีส่วนร่วมในการสืบค้นประเด็นที่มันซับซ้อนได้เหมือนกัน 


รูป 8 — ภาพจากโปรเจกต์ The Bombing of Rafah โดย Forensic Architecture, 2558 © CC


ปั๋ม — มันไปแตะกับเรื่องความแตกต่างระหว่างออปเจคทีฟ กับซัปเจคทีฟ ด้วย หลายๆ คนคิดว่าข่าวมีความเป็นออปเจคทีฟ มากกว่า ซึ่งในท้ายที่สุดมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น การเลือกว่าเรื่องไหนควรจะเป็นข่าว ก็มาจากความเข้าใจบางอย่างที่เรามีอยู่แล้วว่า เรื่องนี้ควรจะต้องถูกสื่อออกมาแบบนี้ ซึ่งมันก็มีความซัพเจคทีฟ อยู่เหมือนกัน


เบล — อย่างตอนที่ทำ
ACED ก็มีการทำเวิร์คชอปไปสอนในมหาวิทยาลัย จะมีสองส่วนคือ ส่วนแรกไปสอนที่โรงเรียนออกแบบและศิลปะ เป็นไปได้ด้วยดี เพราะเราก็มาจากสายนั้นอยู่แล้วเลยรู้ว่าเขาต้องการอะไร เราให้เขาลองจับประเด็นสังคม ทำให้เป็นประเด็นของตัวเอง แล้วนำเสนอความจริงนั้นออกมา แต่พออีกส่วนคือไปสอนที่มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เป็นคอร์สปริญญาโทด้านสื่อสารมวลชน ก็เป็นอีกโลกนึงที่น่าสนใจมากเหมือนกันนะ (หัวเราะ) มันจะมีความเซนซีทีฟบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน เช่น ถ้ากระตุ้นให้ทำอะไรที่ซัปเจคทีฟ เขาจะต่อต้านรุนแรงมาก เพราะเขาถูกเทรนให้คิดหรือนำเสนอแบบออปเจคทีฟ เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่า ทำอะไรแบบที่ซัปเจคทีฟ มันเหมือนเป็นสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณ ซึ่งเราก็มีการถกกันเหมือนที่ปั๋มพูดว่าแล้ว ความเป็นออปเจคทีฟที่แท้จริงมันมีเหรอ ในความรู้สึกเรามันไม่มีหรอก มันอยู่ที่ว่าคุณจะโปร่งใสกับมันแค่ไหน เลือกที่จะเผยจุดยืนของคุณมากน้อยแค่ไหน คือทุกๆ สำนักข่าวเขามีเป้าหมายอยู่แล้ว พยายามทำตัวเป็นกลาง หรือเป็นขวาเป็นซ้าย หรือแม้แต่ตัวคนนำเสนอเอง นำเสนอข่าวแล้ววิพากษ์วิจารณ์ว่า “ทำอย่างนี้แย่จริงๆ เลยนะคะ” สองประโยคต่อท้าย มันก็คือความเห็นส่วนตัวของคนนั้นที่ปล่อยเข้าไปสู่คนดูแล้ว ซึ่งเรารู้สึกว่ามันสำคัญที่คุณต้องค่อนข้างซื่อสัตย์กับความเป็นซัปเจคติวิตีของตัวเอง ถ้าไปปฏิเสธว่ามันไม่มี แบบนี้น่าจะอันตราย


ปั๋ม — เหมือนออปเจคทีฟร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่ได้มีอยู่ในโลก สุดท้ายประเด็นคือคนอ่านรับรู้รึเปล่าว่าสิ่งที่รับอยู่มันคืออะไร เขาจะได้รับมือถูก เมื่อกี้เราพูดในแง่ว่าดีไซน์มันเข้าไปช่วยข่าวได้ยังไง อยากรู้ในอีกด้านนึงว่าในฐานะนักออกแบบ ได้รับรู้วิธีการทำงานหรือว่าวิธีคิดของความเป็นนักข่าวด้วยรึเปล่า มีอะไรที่น่าสนใจบ้างสำหรับคนที่ไม่ได้มีแบคกราวด์ด้านข่าวแล้วมาเจออะไรอย่างนี้


เบล — เรารู้สึกว่าบางประเด็นบนโลกไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยความพยายามของมนุษย์คนเดียว คุณอาจจะต้องลองไปสอบถามคนที่เขาเชี่ยวชาญกว่าคุณ ซึ่งรู้สึกว่าในการทำงานร่วมกับนักข่าวทำให้เราได้เรียนรู้ตรงนั้น เพราะนักข่าวไม่ได้นั่งเก็บข้อมูลอย่างเดียว เขาไปสัมภาษณ์ มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้วยความเป็นสำนักข่าวก็ต้องระวังในสิ่งที่นำเสนอออกไป ถ้ามันซัปเจคทีฟ
 ถึงขั้นที่กลายเป็นความเห็นส่วนตัวของคนคนเดียวที่มีต่อประเด็นนั้นๆ เขาจะไม่สามารถยอมรับให้มันเป็นข่าวได้ สมมติว่าเราทำประเด็นเรื่องสังคมการเมืองใดๆ ก็ตาม ข้อมูลต้องแน่น ก่อนที่จะใส่การคาดคะเน หรือแฟนตาซีเข้าไป ถ้าเราทำออกมาอลังการมาก แต่คนกลับไปดูข้อเท็จจริงแล้วมันผิดตั้งแต่เริ่ม พลังของสิ่งที่คุณทำมามันก็ไม่มี จริงๆ รู้สึกว่าไม่ใช่แค่ทำงานกับนักข่าว ดีไซเนอร์ที่ทำงานประเด็นเรื่องสังคมควรทำงานกับสายอาชีพอื่นให้มากขึ้น อย่างที่ช่วงนี้เราเริ่มทำงานพวกสารคดี หรือทำงานกับนักมานุษยวิทยา เราก็ได้เรียนรู้ผ่านเขาเพื่อจะเข้าใจประเด็นนั้นๆ ก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นงาน


ปั๋ม — แสดงว่าจริงๆ ยังมองว่างานสื่อสารมวลชน ก็มีคุณค่าในแง่ของความน่าเชื่อถืออยู่ประมาณนึง?


เบล — คล้ายๆ ที่ปั๋มบอกว่ามันเป็นวิธีคิด เขาจะมีจุดยืนที่แข็งแรงอะไรบางอย่าง เหมือนการเช็คว่าสิ่งนี้คุณเอามาจากไหน มาจากใคร เมื่อใด และมาอย่างถูกต้องมั้ย ถ้าเป็นคนที่ทำงานในสำนักข่าวแบบดั้งเดิม


ปั๋ม — มันมีกฎว่าถ้าเป็นเรื่องที่เพิ่งได้ข้อมูลมาจากแหล่งข่าวนึง มันจะต้องถูกยืนยัน จะอีกหนึ่งหรือสอง แหล่งข้อมูลนอกเหนือจากแหล่งแรก ซึ่งผมเชื่อว่ามันยังมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่วุ่นวายมากๆ อย่างช่วงโควิดนี้ เราแค่ต้องการอะไรที่มันน่าเชื่อถือ


เบล — ใช่ วันก่อนฟังทอล์กของช่างภาพข่าว เขาเล่าว่า สมมุติคุณถ่ายภาพข่าวภาพนึง ที่มีความสวยงาม แล้วจะส่งไปประกวด World Press Photo มันจะมีข้อกำหนด ว่ารูปต้องไม่มีการดัดแปลง ถ้าโดนจับได้ก็จะโดนถอดถอนจากรางวัล คนส่วนใหญ่ถ้าถูกจับได้ ก็จะตอบว่า ส่งรูปผิด บังเอิญส่งรูปที่เอาไว้ใช้ในนิทรรศการไป กลายเป็นว่ารูปเดียวกัน ที่นำเสนอสถานการณ์เดียวกัน แต่พออยู่ในบริบทของศิลปะ คุณดัดแปลงมันได้ ไม่มีใครว่า แต่ถ้ามันเป็นเวอร์ชันของภาพข่าว เขาก็จะให้คุณค่ากับความตรงไปตรงมา เราก็รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในยุคนี้ที่ทุกอย่างมันสามารถดัดแปลงแก้ไขได้


ปั๋ม — ได้ติดตามสำนักข่าวหรือวงการข่าวของไทยที่ผ่านมาแล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง?


เบล — คิดว่าช่วงหลังๆ สำนักข่าวมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ใช่ทางการเมือง แต่มีน้ำเสียงของตัวเองในการทำประเด็นต่างๆ ชัดขึ้น เราว่ามันก็เป็นแนวโน้มที่ดี มีทางเลือกให้คนมากขึ้น รสนิยมในการนำเสนอข่าวก็จะแตกต่างกันไปตามสไตล์ของคนที่ดู เราว่ามันก็มีพัฒนาการ แต่ว่าจุดอ่อนอย่างนึงคือสำหรับคนดู ถ้าเราเสพสิ่งที่อยู่ในวงนั้นอย่างเดียวมากๆ แล้วไปเจอสิ่งที่อยู่ในอีกวงนึงก็จะรู้สึกไม่อยากรับ เราจะรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามคือข่าวปลอม ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ต้องมามีข้อถกเถียงตรงนี้หรอกเพราะว่า ก็มีแค่ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด บางกอกโพสต์ ที่นำเสนอข่าวในรูปแบบที่ในความรู้สึกเราอาจจะไม่ได้ต่างกันมาก


ปั๋ม — สุดท้ายผมก็รู้สึกว่าหลายๆ เรื่องมันกลับมาที่ผู้ชม เพราะไม่ว่ามันจะใช้การออกแบบเยอะหรือน้อยยังไง จะเป็นซัปเจคทีฟ หรือออปเจคทีฟ มันก็มีเรื่องของการรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งเป็นนิยามที่พูดยากเหมือนกัน เราเองยังตอบไม่ได้เลยว่าจริงๆ แล้วความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อที่ทุกคนควรจะมีมันคืออะไร


เบล — การทำข่าวมันเป็นชุดความคิดใช่มั้ย หรือมันเป็นวิธีการหรือวิธีคิด อาจจะเป็นสิ่งที่คนควรจะต้องมี ณ ปัจจุบันนี้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างเช่น ในฐานะที่ทุกคนเป็นสื่อได้ คุณก็ควรจะรู้จักตรวจสอบข้อเท็จจริง หรืออย่างน้อยก็ต้องรู้ที่มาที่ไปของสิ่งที่แชร์ หรือคุณไม่ควรกดแชร์เร็วเกินไป อย่างพ่อแม่เราแชร์จุกจิกมาในไลน์ เราก็ต้องไปบอกพ่อว่า
“ป๊า ไปดูว่า ใครเป็นคนแชร์”(หัวเราะ) มันมาจากไหน มันจริงรึเปล่า ทำอย่างนี้บ่อยๆ จนคราวหลังเขาต้องยื่นมาให้อ่านก่อน ให้ช่วยดูหน่อยว่าอันนี้มันจริงหรือไม่จริง เราว่ามันฝึกได้ แต่คุณจะเห็นความสำคัญและให้ความสำคัญกับการฝึกอันนี้รึเปล่า ว่าอย่าไว้ใจทุกสิ่งที่ปรากฏบนโลกใบนี้หรือโลกอินเทอร์เน็ต คุณมีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ตรวจสอบมันให้ดีก่อน


ปั๋ม — เหมือนสิ่งที่เรียกว่าจรรยาบรรณหรือหลักจริยธรรมของนักข่าว จริงๆ ก็ปรับใช้กับคนทั่วไปได้ สมมุติการหาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เราก็ต้องเลือกสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือรู้จักตรวจสอบ สมมุติเราเห็นข่าวนี้เล่าแบบนึง ก็ต้องไปดูกับที่อื่นๆ ด้วยว่าข่าวเรื่องเดียวกัน เล่าเหมือนกันรึเปล่า มันก็มาปรับใช้กับคนทั่วไป ที่เป็นทั้งคนเสพและคนผลิตในสมัยที่ใครๆ ก็ผลิตสื่อได้ด้วยเหมือนกัน


เบล — เราว่ามันอาจจะเป็นอาวุธที่ค่อนข้างสำคัญในยุคนี้ ที่ทุกคนรู้ไว้ก็ปกป้องตัวเองและสังคม ไม่ให้โหมกระพือความดราม่าแบบผิดๆ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี


ปั๋ม — แล้วตอนนี้กำลังทำโปรเจกต์อะไรที่เกี่ยวกับประเทศไทยอยู่บ้างมั้ยครับ?


เบล — หลังออกจาก
ACED ก็ทำสารคดีเกี่ยวกับไทยเยอะ เริ่มหัดทำสารคดีเพราะเรารู้สึกว่าการถ่ายมันเป็นเครื่องมืออันนึง ที่สามารถเล่าเรื่องในแบบที่อินโฟกราฟิก หรืออะไรที่เราเคยทำมาก่อนทำไม่ได้ มันมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก มันมีจิตใจอยู่ในนั้น เราทำหนังสั้นเรื่อง Capital of Mae La เกี่ยวกับเรื่องค่ายผู้ลี้ภัยที่จังหวัดตาก ทำกับพี่ที่เป็นนักมานุษยวิทยา เข้าไปทำวิจัยในพื้นที่กับเขาประมาณสี่ห้าปี ไปๆ กลับๆ แล้วก็ทำเป็นหนังสั้นที่เล่าเรื่องของชีวิตของคนที่อยู่ในค่าย ที่จริงๆ อยู่มาสามสิบกว่าปีแล้ว มันตั้งในปีที่เราเกิด แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเมืองไทยมีค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ขนาดนี้และอยู่มานานขนาดนี้ แล้วก็ได้ทำสารคดีเกี่ยวกับห้วยขาแข้งให้กับ Bangkok Design Week ทำกับ STUDIO 150 ฉายในนิทรรศการที่พูดถึงเรื่องการอนุรักษ์เสือ เราก็ตามเขาไปสังเกตการณ์ ถ่ายทำการทำงานร่วมกันของดีไซเนอร์ซึ่งเป็นคนเมืองที่เริ่มจากไม่รู้อะไรมาก แล้วเข้าไปในป่าเพื่อคุยกับคนที่ทำงานในนั้น มองจากมุมคนนอกเข้าไป ลักษณะการทำงานของเราคือการเล่าประเด็น อาจจะเรียกว่ามันคือสกู๊ปข่าวก็ได้ แต่อย่างที่บอก เราจะใส่ซัปเจคทิวีที ไปค่อนข้างเยอะ ในงานเรา เราจะบอกตลอดว่าเราเป็นคนเล่า แล้วเราคือใคร มองด้วยสายตายังไง ตอนเริ่มและตอนจบ มันก็จะมีความต่างจากการไปทำข่าวเฉยๆ


รูป 9 — Capital of Mae La © Nuankhanit Phromchanya


รูป 10 — ภาพจากสารคดี Tiger Eyes: A story from Huai Kha Khaeng https://youtu.be/Xe1vE8bAJ70 © Nuankhanit Phromchanya



ปั๋ม — ผมไม่ได้มีแบคกราวด์ด้านศิลปะหรือการออกแบบ แต่จะรู้สึกว่างานที่ชอบไปดู มักจะเป็นงานศิลปะที่พูดถึงประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อย่างนึงคือ เราเชื่อมโยงด้วยได้ง่าย เพราะมันพูดถึงเรื่องที่มันเป็นสากล บางทีก็เหมือนได้เสพทั้งงานศิลปะทั้งข่าว งานนึงที่ผมเคยไปดูพูดถึงแผนพัฒนาประเทศของมาเลเซีย ซึ่งรู้สึกว่าชาตินี้คงไม่ได้ไปอ่านอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ แต่พอว่าไปดูแล้วรู้สึกว่าเรารับรู้สิ่งนี้แล้วเก็ตเลย มันพูดว่าแผนพัฒนาของมาเลเซียที่ดูยิ่งใหญ่มากๆ จริงๆ เป็นเรื่องที่มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ ผมรู้สึกว่าถ้าไปอ่านจากข่าวทั่วไปคงไม่ได้รู้สึกถึงความสิ้นหวังขนาดนี้ ไปอ่านจากข่าวคงรู้แค่ว่าแผนพัฒนานี้มันถูกเริ่ม แต่สุดท้ายไม่ได้ทำขึ้นจริง ไม่มีงบ ข่าวนี้มันคงไม่ได้ทำอะไรกับตัวเรา แต่พอไปดูในนิทรรศการแล้วรู้สึกว่ามันเก็ตว่ะ ซึ่งมันเป็นผลจากซัปเจคทีฟ ของศิลปินที่มาจากประเทศนั้น วิธีนำเสนอของเขา ทำให้เราเชื่อมโยงกับเขาได้จริงๆ ผมรู้สึกว่าน่าสนใจที่จะเอาศาสตร์นี้มารวมกัน


เบล — ใช่ เราว่าเทรนด์ทางซีกโลกตะวันตกที่พยายามพัฒนาพวกการทำข่าวแบบอินเตอร์แอคทีฟ ความต้องการเขาก็คล้ายๆ กันแหละ คือต้องการจะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้คนอ่าน แทนที่จะเล่าเป็นเรื่องเฉยๆ ก็อาศัยเทคโนโลยีให้คนเลื่อนดูภาพแล้วมีเสียง อะไรอย่างนี้ สำนักข่าวอย่าง
New York Times หรือ The Guardian เขาก็มีความพยายามที่จะทำให้คนเกิดแรงกระตุ้นจากสิ่งที่เขาเสพ นอกเหนือจากการแค่อ่านเฉยๆ เพราะว่ามันคือคุณค่าของการนำเสนอข้อมูล ที่เขาหามาด้วยความยากลำบาก เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่โลกมันควรได้รับรู้ ศิลปะและการออกแบบ ก็เป็นทางเลือกที่สามารถเสริมตรงนี้ได้


ปั๋ม — พี่เบลมองตัวเองเป็นศิลปินหรือว่ามองตัวเองเป็นนักข่าว?


เบล — (หัวเราะ) ถ้าคนถามนะ จะไม่เคยเรียกตัวเองว่าศิลปินเลย จะเรียกตัวเองว่าดีไซเนอร์ เรารู้สึกว่าเราชอบศิลปะนะ เราเคยทำสารคดีเกี่ยวกับอาจารย์ชวลิต เสริมปรุงสุข เขาเป็นศิลปินแห่งชาติที่เพิ่งเสียไปไม่นานนี้ เราเคารพเขามาก รู้สึกว่าเขามีความเป็น
“ศิลปิน” เชื่อมั่นในศิลปะ ผลลัพธ์ของงานอาจจะคล้ายๆ กัน แต่ว่าวิธีคิดคนละแบบ เรามีความพยายามจัดการและควบคุมงานมากพอสมควร อย่างเช่น เราอยากจะเล่าเรื่องนี้ สมมติเล่าด้วยภาพถึงจะเปิดให้คนตีความก็ตาม แต่เราจะชัดเจนในจุดมุ่งหมาย เราจะเปิดให้คนตีความด้วยเวอร์ชั่นอย่างนี้ อย่างนั้น มันเป็นวิธีคิดของดีไซเนอร์ที่เรารู้ว่าสารคืออะไร สารไปสู่ใคร แล้วเขาจะรับมันด้วยรูปแบบไหน เรามีการออกแบบมาแล้วว่าให้เขารับสารแบบไหน ในขณะที่เราว่าศิลปินบางคนอาจจะคิดก็ได้นะ แต่ส่วนใหญ่เขาทำงานจากความรู้สึก เป็นการสื่อสารที่ไม่ใช่ในเชิงการรับรู้มากขนาดนั้น บางทีอาจจะอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเป็นสิ่งนี้ในเวอร์ชันนี้

เครดิตภาพ

รูป 1 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก นอร์ตเจอร์ ฟาน เอคเลน 
รูป 2 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก นอร์ตเจอร์ ฟาน เอคเลน
รูป 3 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก แอนเนอลิส เดอ เวท
รูป 4 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก แอนเนอลิส เดอ เวท
รูป 5 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก ACED
รูป 6 — ภาพสจากคลิป Every NYT front page since 1852 https://vimeo.com/204951759 © Josh Begley
รูป 7 — Snow cholera map “public domain in the US”
รูป 8 — Creative Common The Bombing of Rafah โดย Forensic Architecture ได้รับอนุญาตจาก CC by SA 4.0
รูป 9 — ภาพได้รับความอนุเคราะห์จาก นวลขนิษฐ์ พรหมจรรยา
รูป 10 — ภาพจากสารคดี Tiger Eyes: A story from Huai Kha Khaeng https://youtu.be/Xe1vE8bAJ70 © Nuankhanit Phromchanya